ฟาติมาสาร: บทเทศน์โดนๆกับโป๊ปฟรังซิส (23 มิ.ย. 2013)

สัปดาห์ที่แล้ว เว้นว่างจากการสรุปบทเทศน์มิสซาเช้าของสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส เพื่อไปติดตาม “เด็กถาม ... พระสันตะปาปาตอบ” วันนี้ เรากลับมาติดตามบทเทศน์พระสันตะปาปาอีกครั้ง ซึ่งขอรับประกันความมันส์ว่า สุดยอดเหมือนเดิม!! ... 



จงเลิกเสแสร้งทำเป็นพูดดี แต่ใจคิดร้ายกับผู้อื่นได้แล้ว

“การเสแสร้ง ทำทีพูดดี แต่เจตนาร้าย จัดเป็นการใช้ภาษาของคนขี้โกง พระเยซูทรงสอนสาวกเสมอว่า 'พูดให้ชัดๆไปเลย ได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ (YES IS YES, NO IS NO)' การแสร้งทำเป็นพูดดี ไม่ใช่ภาษาแห่งความจริง เพราะความจริงจะไม่ถูกพูดออกไปเพียงอย่างเดียว ความจริงจะต้องถูกพูดออกไปพร้อมความรัก! จงระลึกเสมอว่า ความรักคือความจริงประการแรก ถ้าไม่มีความรัก ก็ไม่มีความจริง ... พระเยซูต้องการให้เรามีก็คือความนอบน้อม นี่คือความสุภาพเรียบง่ายเหมือนเด็กๆ เห็นไหมว่า เด็กๆไม่ใช่พวกแสร้งทำเป็นพูดดี พวกเขาพูดออกมาจากใจ”

หุ้นตกเป็นทุกข์ แต่เวลาคนตายเพราะอดอยาก กลับไม่รู้สึกอะไร

“มันเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่เราเห็นคนไร้ที่อยู่อาศัยนอนตายเพราะความหิวโหย แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากตลาดหุ้นตกแค่ 10 จุด มันกลับเป็นข่าวที่คนให้ความสนใจไปได้ แค่ตลาดหุ้นตกแแค่ 10 จุด มนุษย์ทำยังกับมันเป็นข่าวสุดเศร้าซะงั้น!!

คนทำงานรับใช้พระเจ้าแล้วต้องการตำแหน่ง พวกนี้ทำร้ายพระศาสนจักร

“คนที่ทำงานรับใช้พระศาสนจักร แล้วหวังมีอำนาจและตำแหน่งสูงๆ คนพวกนี้สร้างบาดแผลร้ายแรงให้พระศาสนจักร พวกเขาจะใส่ใจตัวเองก่อนมากกว่าจะรับใช้ส่วนรวม ใครก็ตามที่ทำงานรับใช้พระศาสนจักรแล้วมักใหญ่ใฝ่สูง พ่อขอประณามคนพวกนี้ว่าเป็นคนโรคเรื้อน”

คริสตชนอยากรอดพ้นจากบาป แต่ดันกลัวเวลาพระเจ้าจะไถ่บาปเรา

“พระเจ้าตรัสชัดเจนว่า 'ท่านไม่สามารถรับใช้นาย 2 คนได้' เราต้องเลือกว่าจะรับใช้พระเจ้าหรือจิตวิญญาณฝ่ายโลก ... น่าคิดนะว่า ทำไมคนส่วนมากไม่เปิดใจให้กับการไถ่เราให้รอดจากบาป บางทีอาจเป็นเพราะเรากลัวความรอด ทั้งที่จริงแล้ว เราต้องการจะรอดจากบาป แต่เรากลัวการไถ่ให้รอดจากบาป เรากลัวเพราะเมื่อพระเจ้าเสด็จมาเพื่อช่วยเราให้รอด เราต้องสละทุกสิ่งและให้พระองค์นำทางเรา เรากลัวเรื่องแบบนี้เพราะเรายังอยากเป็นนายของตัวเอง เราอยากให้จิตวิญญาณฝ่ายโลกนำเรา ไม่ยอมให้พระเจ้านำ”

พระเยซูไม่เคยสั่งให้เปลี่ยนศาสนาคนอื่น แต่สั่งให้ประกาศพระวรสาร

“พระเจ้าทรงเชิญเราให้เทศนาสั่งสอน ไม่ใช่ไปเปลี่ยนศาสนาคนอื่น เรื่องนี้ สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 เคยตรัสว่า ‘พระศาสนจักรจะไม่เติบโตด้วยการบังคับคนอื่นเปลี่ยนศาสนา แต่พระศาสนจักรจะเติบโตด้วยการเป็นประจักษ์พยานถึงการประกาศคำสอนของพระเยซู’”

พระศาสนจักรเดินหน้าด้วยใจยากจน ไม่ใช่เดินด้วยใจนักธุรกิจ

งานของพระศาสนจักรต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยการยึดความยากจน ไม่ใช่เดินหน้าด้วยหัวใจของนายหน้านักลงทุนหรือผู้ประกอบการธุรกิจ อย่าลืมนะว่า เวลาประกาศพระวรสาร นักบุญเปโตรไม่มีบัญชีธนาคารของตน ท่านประกาศด้วยใจยากจน ส่วนนักบุญฟิลิป ตอนไปประกาศพระวรสารที่เอธิโอเปียและได้พบกับหัวหน้าฝ่ายการคลังของพระราชินีที่นั่น นักบุญฟิลิปกล่าวกับหัวหน้าฝ่ายการคลังว่า 'ดีเลย เรามาจัดตั้งหน่วยงานเพื่อประกาศพระวรสารกัน' หลายคนคิดว่า นักบุญฟิลิปจะจัดตั้งหน่วยงานเพื่อระดมทุน แต่ไม่ใช่เลย การจัดตั้งหน่วยงานนี้ นักบุญฟิลิปทำโดยโปรดศีลล้างบาปให้คนที่นั่น และเมื่อโปรดศีลล้างบาปให้ทุกคนแล้ว ท่านก็เดินจากไปโดยไม่นำสิ่งตอบแทนออกมาเลย ท่านทำด้วยเรียบง่ายติดดิน ทำเพื่อพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว เราก็ต้องทำแบบนั้นเช่นกัน”

คริสตชนที่อยากทำตัวเด่นดัง เขาคนนั้นคิดผิดเต็มๆ

พ่ออยากเตือนสติคนที่คิดว่า ชีวิตคริสตชนของตนต้องเด่นกว่า ต้องเหนือกว่าผู้อื่น ว่าเป็นความคิดที่ผิด พระเยซูตรัสสอนว่า ใครในหมู่พวกท่านที่ต้องการเป็นใหญ่ในหมู่พี่น้องของตน หรือถ้าหัวใจของเราคิดร้ายกับพี่น้องของเรา มันก็มีบางสิ่งผิดปกติในจิตใจและต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง มันต้องมีการกลับใจ! พระเยซูทรงสอนเราว่า ‘อย่านำข้อบกพร่องของคนอื่นมาพูด อย่าใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น อย่าดูถูกผู้อื่น’ ถ้าเราไม่สามารถที่จะเก็บปากให้หยุดการนินทา ความก้าวร้าวก็จะเกิดขึ้น เหมือนอย่างที่เราเห็นจากเรื่องกาอินที่ทำร้ายอาเบล ดังนั้น พึงระลึกไว้ว่า ไม่ใช่เราเป็นคนไม่ดี แต่เป็นเพราะเราเป็นคนบาปและอ่อนแอ เราจึงเลือกแก้ปัญหาแบบง่ายๆด้วยปาก เราทำเพื่อจะได้จบปัญหาด้วยการใส่ร้ายกัน หมิ่นประมาทกัน แทนที่จะจบปัญหาด้วยการหาทางออกแบบดีๆ”

อย่าเสแสร้งว่าตัวเองไม่ใช่คนบาป

“การยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป เป็นแบบอย่างของความสุภาพสำหรับพระสงฆ์ นี่คือความสุภาพถ่อมตนแบบคริสตชนที่สามารถจับต้องได้ พึงระลึกว่า จงอย่าเสแสร้งทำเป็นคนไม่มีบาป เพราะความถ่อมตนแท้จริงคือการรู้ว่า การแสร้งเป็นคนดีไม่มีบาป เป็นส่วนหนึ่งของซาตานที่อยู่ในตัวเรา

ชีวิตคริสตชนไม่ได้ให้ความรู้สึกสบายตัวเหมือนไปทำสปา

“ชีวิตคริสตชนไม่ได้ทำให้เรารู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเหมือนการไปทำสปา (SPA THERAPY) ชีวิตคริสตชนไม่ทำให้เราสุขสบายกับชีวิตบนโลกนี้ แต่ชีวิตคริสตชนเรียกร้องเราให้ก้าวออกจากตัวเอง เพื่อออกไปประกาศให้โลกรู้ว่าพระเยซูทรงลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทำให้พระบิดากับมนุษย์คืนดีกัน”

พ่อแม่ “ห้าม” ตบหน้าลูก

“พระวาจาที่พระเยซูตรัสว่า 'ถ้าผู้ใดตบแก้มซ้ายของท่าน จงยื่นแก้มขวาให้เขาตบด้วย' พระดำรัสของพระเยซูตอนนี้จัดเป็นคำสอนที่เป็นที่กล่าวขานไปทั่ว คำสอนเรื่องการตบหน้ากลายเป็นการกระทำที่คลาสสิคซึ่งคนบางกลุ่มหัวเราะเยาะพวกเราคริสตชน ในชีวิตประจำวัน แนวคิดที่สอนเราให้ต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของตัวเอง และสอนเราว่า ถ้าใครตบหน้าเรา เราต้องจัดการมันคืน เอาคืนให้ถึง 2 เท่า เพื่อปกป้องตัวเราเอง เป็นแนวคิดที่ขัดกับคำสอนพระเยซูและมันน่าผิดหวังมากที่คนยุคนี้ทำแบบนี้ สำหรับผู้ที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง พ่ออยากขอร้องพวกท่านว่า 'เมื่อท่านจำเป็นต้องลงโทษลูกหลาน อย่าตบหน้าพวกเขา เพราะใบหน้าคือศักดิ์ศรีของมนุษย์’

จงสวดให้ศัตรู ไม่ใช่ทิ้งหน้าที่นี้ให้ซิสเตอร์ชีลับรับผิดชอบ

“เราจะรักศัตรูเราได้อย่างไร? เราจะรักที่คนที่ตัดสินใจทำลายและฆ่า(จิตใจและชีวิต)คนได้อย่างไร มันยากจริงๆนะที่จะรักศัตรูคู่อริของเรา มันยากจริงๆ แต่นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงขอร้องเราให้ทำแบบนั้นจริงๆ บ่อยครั้ง เรามักจะคิดว่า ‘พระเยซูทรงขอเรามากไปหรือเปล่าเนี่ย?’ จากนั้น เราก็ผลักหน้าที่นี้ (รักศัตรูและภาวนาให้เขา) ไปให้กับบรรดาซิสเตอร์ในอารามชีลับซึ่งเป็นผู้เปี่ยมด้วยความศักดิ์สิทธิ์ เราปล่อยให้นิสัยการรักศัตรูไปเป็นหน้าที่ของผู้ที่มีจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่พระเยซูตรัสชัดเจนว่า ‘ไม่! เราต้องอย่าทำแบบนั้น’ เพราะถ้าเราทำแบบนั้น เราจะเป็นเหมือนคนเก็บภาษี ไม่ใช่คริสตชน

“พ่อขอเตือนสติทุกคนว่า ‘การแก้แค้นไม่ใช่นิสัยของคริสตชน’ แต่คริสตชนต้องสวดภาวนาให้ศัตรู จงภาวนาให้คนที่กดขี่ข่มเหงท่าน จงขอพระเจ้าเปลี่ยนจิตใจศัตรูที่เป็น ‘ใจหิน’ ให้เป็น ‘ใจเนื้อ’

“ลองถามตัวเองดูว่า ‘เราอธิษฐานภาวนาให้ศัตรูบ้างไหม เราภาวนาให้คนที่ไม่รักเราบ้างหรือเปล่า’ ถ้าเราตอบว่า ‘ใช่ เราภาวนาให้’ พ่อก็จะกล่าวต่อไปว่า ‘ดี จงภาวนาต่อไป ภาวนาให้มากๆ เพราะท่านเดินมาถูกทางแล้ว!’

“แต่ถ้าท่านตอบว่า ‘ไม่ เราไม่มีวันสวดให้ศัตรู’ พ่อก็จะบอกว่า ‘แย่นะ! ในเมื่อท่านทำแบบนี้ ท่านกำลังจะกลายเป็นศัตรูของคนอื่นเช่นกัน’”


AVE   MARIA

Comments