ฟาติมาสาร - เกินคาดกับอิตาเลีย 2012 (ตอน 1 - 16 ธ.ค. 2012)
สัปดาห์ที่แล้ว ผมหายไปหนึ่งสัปดาห์เนื่องจากกำลังผจญความหนาวอยู่ในอิตาลี ตอนแรก ตรวจสภาพอากาศจากเมืองไทย ในเว็บไซต์บอกว่า ประมาณ 12-15 องศา แต่พอไปถึงจริง เจอตั้งแต่ -3 ถึง 8 องศา เรียกได้ว่า ปั่นป่วนกับอากาศพอสมควร แต่สำหรับการเดินทางแสวงบุญครั้งนี้ ถือว่า งดงามเกินคาด เพราะได้ไปในหลายสถานที่ที่ยังไม่เคยไปและไม่เคยรู้มาก่อนหลายแห่งด้วยกัน
โปรแกรมการเดินครั้งนี้เหมือนกับที่แจ้งไปเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ฟลอเร็นซ์, ปอมเปอี และนาโปลี ไม่มีอะไรสำคัญเกี่ยวกับการแสวงบุญมากนัก ผมขอข้ามไปแล้วกัน จบจากสามเมืองนี้ การแสวงบุญถึงเริ่มแบบเป็นทางการด้วยการไปยังเมือง “กาสช่า” (CASCIA) เมืองของ “นักบุญริต้า” หนึ่งในนักบุญหญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในอิตาลี พูดถึงนักบุญริต้า ก่อนหน้านี้ ผมไม่รู้จัก เพราะนักบุญองค์นี้ไม่ค่อยดังในไทย (แต่ก่อนหน้านี้ที่ผมไปอิตาลีหลายๆครั้ง ผมเห็นรูปนักบุญองค์นี้ในหลายๆแห่ง เยอะพอๆกับนักบุญฟรานซิส อัสซีซี) มองซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์ ซึ่งเป็นไกด์พาผมไปแสวงบุญที่เมืองนี้ จึงเน้นกับผมว่า ต้องมาให้ได้แล้วจะชอบ
การเดินทางมาเมืองกาสช่า จัดว่ายากลำบากสักหน่อย เพราะเป็นเมืองเล็กๆบนหุบเขาในจังหวัดเปรูจา แคว้นอุมเบรีย (ไม่ไกลจากอัสซีซี แต่อัสซีซีไปง่ายกว่าเยอะ) ภูเขาก็สูงชันวกไปวนมา แต่เมื่อขึ้นมาถึงข้างบน ความเหนื่อยก็หายสนิท เพราะวิวมองลงไปด้านล่างนั้นสวยงามเหมือนพวกสวิตเซอร์แลนด์
สำหรับประวัติของนักบุญริต้า (ค.ศ.1351-1457) ชื่อเต็มๆของท่านคือ “มาร์การิตา” ท่านเป็นสตรีหน้าตาดีและได้แต่งงานกับชายผู้ร่ำรวยแต่ชอบใช้ความรุนแรงกับภรรยา ริต้าสวดภาวนาทุกวันให้สามีกลับใจ การกลับใจนี้ใช้เวลาหลายสิบปี แต่ที่สุดแล้วก็ประสบความสำเร็จ สามีท่านกลับใจเป็นคาทอลิกที่ศรัทธาและให้เกียรติภรรยา อย่างไรก็ตาม สามีท่านถูกฆ่าตายและลูกๆทั้งสองคนต้องการแก้แค้นให้กับพ่อ ริต้าไม่สบายใจที่เห็นลูกมีความแค้นฝังอก ท่านสวดภาวนาขอพระโปรดให้ลูกท่านตายเสียดีกว่าที่ต้องเห็นลูกตัวเองเป็นฆาตกรฆ่าคนอื่นตาย เหมือนพระเจ้าฟังคำขอ ไม่นานนัก ลูกทั้งสองคนได้เสียชีวิตลงด้วยโรคระบาด
เมื่อเหลือตัวคนเดียว ริต้าได้สมัครเข้าอารามซิสเตอร์คณะออกัสติเนี่ยน กระนั้น แม่อธิการและซิสเตอร์ในคณะไม่ยอมรับท่าน เนื่องจากเป็นแม่หม้ายและเคยมีลูกมาแล้ว แม่อธิการจึงสั่งให้ริต้านั่งสวดหน้าอารามท่ามกลางความหนาวเย็น ก่อนจะท้าทายว่า ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ริต้าต้องได้เข้าไปนั่งในอาราม เหมือนกับเรื่องเหลือเชื่อ ริต้านั่งสวดหน้าอารามตัวคนเดียว ประมาณวันที่ 3 ของการนั่งตรงนั้น ท่านเผลอหลับไป พอรู้ตัวอีกที ท่านก็เข้าไปนั่งอยู่ในสวนของอารามได้หน้าตาเฉย ทั้งๆที่กำแพงอารามสูงมาก สิ่งนี้สร้างความงงและตกใจให้ซิสเตอร์ในคณะเป็นอย่างมาก (ตามเรื่องเล่า บอกว่า มีเทวดามาอุ้มท่านเข้าไปส่งในอาราม) ถึงตอนนี้ แม่อธิการและซิสเตอร์ในคณะรู้สึกตัวแล้วว่า นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าจริงๆ พวกท่านจึงตัดสินใจให้ริต้าได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะ (เป็นชีลับ)
เมื่อได้บวชซิสเตอร์ ริต้าเป็นคนที่สวดภาวนาด้วยความร้อนรนมาก วันหนึ่งท่านรำพึงหน้ารูปพระเยซูถูกตรึงบนกางเขนว่า “โปรดให้ลูกได้แบ่งปันความเจ็บปวดจากพระองค์ด้วย” เท่านั้นแหละ ก็มี “หนาม(จากมงกุฎหนามของพระเยซู)และเลือด” โผล่ออกมาบนหน้าผากท่านและติดตัวท่านไปจนตาย ริต้าเจ็บปวดกับแผลนี้มากแต่ท่านก็น้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้า ซิสเตอร์คนอื่นๆในอารามก็ตกใจกับสิ่งที่เกิด ริต้าต้องให้คนมาทำแผลและซับเลือดบนศีรษะตัวเองทุกวัน แต่ท่านก็ไม่เคยบ่น
เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง ตอนนั้นเป็นฤดูหนาวและหิมะตกหนัก ซิสเตอร์ในคณะถามริต้าว่า ต้องการสิ่งของอะไรจากบ้านที่เคยอาศัยไหม จะไปเอามาให้ไว้ข้างเตียงช่วงบั้นปลายชีวิต ริต้าตอบว่า “ให้ไปที่สวนหลังบ้านและไปเอาดอกกุหลาบมาให้ด้วย” ซิสเตอร์ทุกคนต่างคิดว่า ริต้าท่าจะบ้าแน่ๆ หิมะตกหนักอย่างนี้ ดอกกุหลาบที่ไหนจะบานได้ แต่มีซิสเตอร์ท่านหนึ่งเอะใจขึ้นมาและคิดว่านี่อาจเป็นเรื่องจริง จึงตัดสินใจเดินไปบ้านหลังนี้และได้พบกับ “ดอกกุหลาบที่บานสะพรั่ง ท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักจริงๆ”
ที่เหลือเชื่อกว่านั้น และนี่เป็นอัศจรรย์ที่ผมได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรกก็คือ วันที่ผมไปเยือนสวนดอกกุหลาบของบ้านหลังนี้ หิมะตกทุกอย่างขาวโพลนไปหมด แต่เบื้องหน้าของผมคือดอกกุหลาบบานสะพรั่งท่ามกลางหิมะและความหนาวเย็น ส่วนหญ้าที่ปลูกต้นกุหลาบก็ไม่มีหิมะปกคลุม ต่างกับหญ้าตรงจุดอื่นๆที่ถูกหิมะทับ สิ่งที่เห็นน่าจะเป็นความอัศจรรย์ ทั้งที่เวลาผ่านไปกว่า 600 ปีหลังจากนักบุญริต้าเสียชีวิต แต่สวนกุหลาบตรงนี้ ยังบานทุกฤดู แบบนี้ไม่เรียกว่าเป็นอัศจรรย์ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว
นอกจากสวนกุหลาบแล้ว ผมยังไปที่หลุมศพของนักบุญริต้า (ความพิเศษคือศพไม่เน่าเปื่อยด้วย) ตรงหลุมศพนี้ ซิสเตอร์คณะออกัสติเนี่ยนจะแจกดอกกุหลาบสดๆให้กับผู้มาแสวงบุญทุกคน นอกจากนี้ หากมองไปรอบๆ จะเห็นสิ่งของเครื่องใช้ของบรรดาคนดังมากมายที่มาภาวนาขอพระเจ้าผ่านนักบุญริต้าแล้วบังเกิดผล หนึ่งในนั้นคือ “อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่” อดีตนักฟุตบอลระดับตำนานของยูเวนตุสและทีมชาติอิตาลี ทั้งนี้ เดล ปิเอโร่ ได้วางเสื้อหมายเลข 10 ของตัวเองพร้อมคำภาวนาไว้ข้างๆหลุมศพนักบุญริต้าด้วย
... ทั้งหมด ก็เป็นภาคแรกของการตะลุยอิตาเลีย 2012 ภาคนี้จะเป็นการนำเสนอประวัติ “นักบุญริต้า” ที่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก ให้ได้รู้จักกันมากขึ้น (ย้ำว่า ดังมากในอิตาลี) ส่วนสัปดาห์หน้า ผมจะมาเล่าเรื่องที่ได้ไปตะลุยเมืองปาโดว่า (นักบุญอันตนแห่งปาดัว), อัสซีซี และสถานที่สำคัญหลายแห่งสำหรับการแสวงบุญในกรุงโรม แล้วคอยติดตามนะครับ
โปรแกรมการเดินครั้งนี้เหมือนกับที่แจ้งไปเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ฟลอเร็นซ์, ปอมเปอี และนาโปลี ไม่มีอะไรสำคัญเกี่ยวกับการแสวงบุญมากนัก ผมขอข้ามไปแล้วกัน จบจากสามเมืองนี้ การแสวงบุญถึงเริ่มแบบเป็นทางการด้วยการไปยังเมือง “กาสช่า” (CASCIA) เมืองของ “นักบุญริต้า” หนึ่งในนักบุญหญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในอิตาลี พูดถึงนักบุญริต้า ก่อนหน้านี้ ผมไม่รู้จัก เพราะนักบุญองค์นี้ไม่ค่อยดังในไทย (แต่ก่อนหน้านี้ที่ผมไปอิตาลีหลายๆครั้ง ผมเห็นรูปนักบุญองค์นี้ในหลายๆแห่ง เยอะพอๆกับนักบุญฟรานซิส อัสซีซี) มองซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์ ซึ่งเป็นไกด์พาผมไปแสวงบุญที่เมืองนี้ จึงเน้นกับผมว่า ต้องมาให้ได้แล้วจะชอบ
การเดินทางมาเมืองกาสช่า จัดว่ายากลำบากสักหน่อย เพราะเป็นเมืองเล็กๆบนหุบเขาในจังหวัดเปรูจา แคว้นอุมเบรีย (ไม่ไกลจากอัสซีซี แต่อัสซีซีไปง่ายกว่าเยอะ) ภูเขาก็สูงชันวกไปวนมา แต่เมื่อขึ้นมาถึงข้างบน ความเหนื่อยก็หายสนิท เพราะวิวมองลงไปด้านล่างนั้นสวยงามเหมือนพวกสวิตเซอร์แลนด์
สำหรับประวัติของนักบุญริต้า (ค.ศ.1351-1457) ชื่อเต็มๆของท่านคือ “มาร์การิตา” ท่านเป็นสตรีหน้าตาดีและได้แต่งงานกับชายผู้ร่ำรวยแต่ชอบใช้ความรุนแรงกับภรรยา ริต้าสวดภาวนาทุกวันให้สามีกลับใจ การกลับใจนี้ใช้เวลาหลายสิบปี แต่ที่สุดแล้วก็ประสบความสำเร็จ สามีท่านกลับใจเป็นคาทอลิกที่ศรัทธาและให้เกียรติภรรยา อย่างไรก็ตาม สามีท่านถูกฆ่าตายและลูกๆทั้งสองคนต้องการแก้แค้นให้กับพ่อ ริต้าไม่สบายใจที่เห็นลูกมีความแค้นฝังอก ท่านสวดภาวนาขอพระโปรดให้ลูกท่านตายเสียดีกว่าที่ต้องเห็นลูกตัวเองเป็นฆาตกรฆ่าคนอื่นตาย เหมือนพระเจ้าฟังคำขอ ไม่นานนัก ลูกทั้งสองคนได้เสียชีวิตลงด้วยโรคระบาด
เมื่อเหลือตัวคนเดียว ริต้าได้สมัครเข้าอารามซิสเตอร์คณะออกัสติเนี่ยน กระนั้น แม่อธิการและซิสเตอร์ในคณะไม่ยอมรับท่าน เนื่องจากเป็นแม่หม้ายและเคยมีลูกมาแล้ว แม่อธิการจึงสั่งให้ริต้านั่งสวดหน้าอารามท่ามกลางความหนาวเย็น ก่อนจะท้าทายว่า ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ริต้าต้องได้เข้าไปนั่งในอาราม เหมือนกับเรื่องเหลือเชื่อ ริต้านั่งสวดหน้าอารามตัวคนเดียว ประมาณวันที่ 3 ของการนั่งตรงนั้น ท่านเผลอหลับไป พอรู้ตัวอีกที ท่านก็เข้าไปนั่งอยู่ในสวนของอารามได้หน้าตาเฉย ทั้งๆที่กำแพงอารามสูงมาก สิ่งนี้สร้างความงงและตกใจให้ซิสเตอร์ในคณะเป็นอย่างมาก (ตามเรื่องเล่า บอกว่า มีเทวดามาอุ้มท่านเข้าไปส่งในอาราม) ถึงตอนนี้ แม่อธิการและซิสเตอร์ในคณะรู้สึกตัวแล้วว่า นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าจริงๆ พวกท่านจึงตัดสินใจให้ริต้าได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะ (เป็นชีลับ)
เมื่อได้บวชซิสเตอร์ ริต้าเป็นคนที่สวดภาวนาด้วยความร้อนรนมาก วันหนึ่งท่านรำพึงหน้ารูปพระเยซูถูกตรึงบนกางเขนว่า “โปรดให้ลูกได้แบ่งปันความเจ็บปวดจากพระองค์ด้วย” เท่านั้นแหละ ก็มี “หนาม(จากมงกุฎหนามของพระเยซู)และเลือด” โผล่ออกมาบนหน้าผากท่านและติดตัวท่านไปจนตาย ริต้าเจ็บปวดกับแผลนี้มากแต่ท่านก็น้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้า ซิสเตอร์คนอื่นๆในอารามก็ตกใจกับสิ่งที่เกิด ริต้าต้องให้คนมาทำแผลและซับเลือดบนศีรษะตัวเองทุกวัน แต่ท่านก็ไม่เคยบ่น
เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง ตอนนั้นเป็นฤดูหนาวและหิมะตกหนัก ซิสเตอร์ในคณะถามริต้าว่า ต้องการสิ่งของอะไรจากบ้านที่เคยอาศัยไหม จะไปเอามาให้ไว้ข้างเตียงช่วงบั้นปลายชีวิต ริต้าตอบว่า “ให้ไปที่สวนหลังบ้านและไปเอาดอกกุหลาบมาให้ด้วย” ซิสเตอร์ทุกคนต่างคิดว่า ริต้าท่าจะบ้าแน่ๆ หิมะตกหนักอย่างนี้ ดอกกุหลาบที่ไหนจะบานได้ แต่มีซิสเตอร์ท่านหนึ่งเอะใจขึ้นมาและคิดว่านี่อาจเป็นเรื่องจริง จึงตัดสินใจเดินไปบ้านหลังนี้และได้พบกับ “ดอกกุหลาบที่บานสะพรั่ง ท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักจริงๆ”
ที่เหลือเชื่อกว่านั้น และนี่เป็นอัศจรรย์ที่ผมได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรกก็คือ วันที่ผมไปเยือนสวนดอกกุหลาบของบ้านหลังนี้ หิมะตกทุกอย่างขาวโพลนไปหมด แต่เบื้องหน้าของผมคือดอกกุหลาบบานสะพรั่งท่ามกลางหิมะและความหนาวเย็น ส่วนหญ้าที่ปลูกต้นกุหลาบก็ไม่มีหิมะปกคลุม ต่างกับหญ้าตรงจุดอื่นๆที่ถูกหิมะทับ สิ่งที่เห็นน่าจะเป็นความอัศจรรย์ ทั้งที่เวลาผ่านไปกว่า 600 ปีหลังจากนักบุญริต้าเสียชีวิต แต่สวนกุหลาบตรงนี้ ยังบานทุกฤดู แบบนี้ไม่เรียกว่าเป็นอัศจรรย์ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว
นอกจากสวนกุหลาบแล้ว ผมยังไปที่หลุมศพของนักบุญริต้า (ความพิเศษคือศพไม่เน่าเปื่อยด้วย) ตรงหลุมศพนี้ ซิสเตอร์คณะออกัสติเนี่ยนจะแจกดอกกุหลาบสดๆให้กับผู้มาแสวงบุญทุกคน นอกจากนี้ หากมองไปรอบๆ จะเห็นสิ่งของเครื่องใช้ของบรรดาคนดังมากมายที่มาภาวนาขอพระเจ้าผ่านนักบุญริต้าแล้วบังเกิดผล หนึ่งในนั้นคือ “อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่” อดีตนักฟุตบอลระดับตำนานของยูเวนตุสและทีมชาติอิตาลี ทั้งนี้ เดล ปิเอโร่ ได้วางเสื้อหมายเลข 10 ของตัวเองพร้อมคำภาวนาไว้ข้างๆหลุมศพนักบุญริต้าด้วย
... ทั้งหมด ก็เป็นภาคแรกของการตะลุยอิตาเลีย 2012 ภาคนี้จะเป็นการนำเสนอประวัติ “นักบุญริต้า” ที่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก ให้ได้รู้จักกันมากขึ้น (ย้ำว่า ดังมากในอิตาลี) ส่วนสัปดาห์หน้า ผมจะมาเล่าเรื่องที่ได้ไปตะลุยเมืองปาโดว่า (นักบุญอันตนแห่งปาดัว), อัสซีซี และสถานที่สำคัญหลายแห่งสำหรับการแสวงบุญในกรุงโรม แล้วคอยติดตามนะครับ
AVE MARIA
โลงศพของนักบุญริต้า
สวนกุหลาบของนักบุญริต้า
Comments
Post a Comment