โป๊ปชี้เสรีภาพแท้จริงเกิดจากการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าไม่ใช่ปฏิเสธพระองค์
สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุขพระศาสนจักรคาทอลิก ทรงชี้ การที่มนุษย์ปฏิเสธที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าและทำตามใจตัวเอง ผลลัพธ์ของการตัดสินใจนี้ไม่ใช่สิ่งที่ชื่อเสรีภาพอย่างที่พวกเขาคิด เพราะเราจะมีเสรีภาพแท้จริงก็ต่อเมื่อเราทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าเหมือนที่พระเยซูทรงแสดงให้เห็นกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเท่านั้น

เมื่อช่วงเย็นวันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ทรงเป็นประธานในมิสซาระลึกถึงพระเยซูทรงตั้งศีลมหาสนิทครั้งแรก ซึ่งจัดภายในมหาวิหารนักบุญจอห์น ลาเตรัน อาสนวิหารของสังฆมณฑลโรม มิสซานี้ นอกจากระลึกถึงการตั้งศีลมหาสนิทแล้ว ยังมีพิธีล้างเท้าอัครสาวก ซึ่งเป็นสงฆ์ 12 องค์ในสังฆมณฑลโรม นอกจากนี้ ถุงทานที่เก็บได้ในมิสซา พระสันตะปาปาทรงตัดสินพระทัยให้ส่งไปช่วยพระศาสนจักรคาทอลิกในซีเรียซึ่งกำลังเผชิญกับภาวะสงครามด้วย ในส่วนของบทเทศน์ประจำมิสซา พระสันตะบิดรผู้ศักดิ์สิทธิ์ทรงเน้นหนักไปที่แบบอย่างของพระเยซูในการทำตามพระประสงค์ของพระบิดา มากกว่าทำตามใจตนเองจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต
พระสันตะปาปา ตรัสว่า "วันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เป็นแค่วันแห่งการตั้งศีลมหาสนิทเท่านั้น วันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นส่วนหนึ่งของคืนอันมืดมิดบนภูเขามะกอก สถานที่ซึ่งพระเยซูเสด็จไปพร้อมกับอัครสาวก พระองค์ทรงอยู่อย่างโดดเดี่ยวและลำพัง ณ ที่นี่ พระเยซูทรงสวดภาวนาเพื่อเผชิญหน้ากับความมืดมิดแห่งความตาย ... เวลากลางคืนมีความหมายถึงเวลาแห่งการไม่ปฏิสัมพันธ์ ไม่พูดจากัน เวลาที่ผู้คนจะไม่เห็นกันและกัน มันเป็นเครื่องหมายของความไม่สมบูรณ์แบบ กล่าวคือ มันเป็นอุปสรรคของความจริง กลางคืนเป็นสถานที่ซึ่งปีศาจได้แอบซ่อนตัวมันไว้ก่อนความสว่างจะส่องแสง พระเยซูทรงเป็นองค์ความสว่างและความจริง เป็นความบริสุทธิ์ และเป็นคุณงามความดี พระเยซูทรงเผชิญหน้ากับเวลากลางคืนเพื่อเอาชนะมัน และเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ของพระเจ้าในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ"
"ในคืนวันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ เราต้องให้ความสำคัญกับเนื้อหาของบทภาวนาที่พระเยซูสวดบนภูเขามะกอก พระเยซูตรัสภาวนาว่า 'อับบา พระบิดา พระองค์ทรงทำทุกสิ่งได้ โปรดนำถ้วยนี้ไปจากข้าพเจ้าเถิด อย่าให้มันเป็นไปตามใจข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์' (มาร์โก 14:36) ความตั้งใจตามตามประสามนุษย์ของผู้ชายชื่อเยซูคือตกอยู่ในความกลัว พระองค์ทรงถาม(พระบิดา)ถึงการขอให้มันผ่านพ้นไปเถิด ในฐานะพระบุตร พระเยซูทรงมอบความต้องการตามประสามนุษย์ไว้กับพระประสงค์ของพระบิดา นั่นคือ อย่าเป็นไปใจตามข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ บนหนทางนี้ พระเยซูได้แปรเปลี่ยนบาปที่อดัมทำไว้มาเป็นการรักษามนุษยชาติ ท่าทีของอดัมต่อพระเจ้าก็คือ ไม่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า แต่ทำตามใจตนเอง ตัวเราต้องการเป็นพระเจ้า ความทะนงตนนี้คือบาปอย่างแท้จริง"
"เราคิดว่าเราเป็นอิสระแท้จริงเพียงแต่เราได้ทำตามใจตนเอง พระเจ้าจึงกลายเป็นศัตรูกับเสรีภาพของเรา เราต้องการเป็นอิสระจากพระองค์ นี่เป็นพื้นฐานการกบฏที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์และพื้นฐานการหลอกลวงที่นำชีวิตเราไปในทางที่ผิด เมื่อมนุษย์ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า พวกเขาก็ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับความจริงของตัวเอง และผลที่ตามมาก็คือพวกเขาไม่ได้เป็นอิสระแท้จริง แต่ตกเป็นทาสของตัวเอง เราจะเป็นอิสระได้ ถ้าเรายืนข้างความจริงที่เราเป็นและร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า"
"ตอนนี้ พระเยซูทรงแก้ปัญหาการเป็นปฏิปักษ์กัน ระหว่างการนบนอบเชื่อฟัง(พระประสงค์พระเจ้า) กับเสรีภาพแล้ว พระองค์ทรงเปิดทางสู่เสรีภาพแท้จริงให้กับเราทุกคน" พระสันตะปาปา ตรัสปิดท้าย
ประมวลภาพ: พระสันตะปาปาถวายมิสซาระลึกถึงพระเยซูทรงตั้งศีลมหาสนิท

เมื่อช่วงเย็นวันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ทรงเป็นประธานในมิสซาระลึกถึงพระเยซูทรงตั้งศีลมหาสนิทครั้งแรก ซึ่งจัดภายในมหาวิหารนักบุญจอห์น ลาเตรัน อาสนวิหารของสังฆมณฑลโรม มิสซานี้ นอกจากระลึกถึงการตั้งศีลมหาสนิทแล้ว ยังมีพิธีล้างเท้าอัครสาวก ซึ่งเป็นสงฆ์ 12 องค์ในสังฆมณฑลโรม นอกจากนี้ ถุงทานที่เก็บได้ในมิสซา พระสันตะปาปาทรงตัดสินพระทัยให้ส่งไปช่วยพระศาสนจักรคาทอลิกในซีเรียซึ่งกำลังเผชิญกับภาวะสงครามด้วย ในส่วนของบทเทศน์ประจำมิสซา พระสันตะบิดรผู้ศักดิ์สิทธิ์ทรงเน้นหนักไปที่แบบอย่างของพระเยซูในการทำตามพระประสงค์ของพระบิดา มากกว่าทำตามใจตนเองจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต
พระสันตะปาปา ตรัสว่า "วันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เป็นแค่วันแห่งการตั้งศีลมหาสนิทเท่านั้น วันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นส่วนหนึ่งของคืนอันมืดมิดบนภูเขามะกอก สถานที่ซึ่งพระเยซูเสด็จไปพร้อมกับอัครสาวก พระองค์ทรงอยู่อย่างโดดเดี่ยวและลำพัง ณ ที่นี่ พระเยซูทรงสวดภาวนาเพื่อเผชิญหน้ากับความมืดมิดแห่งความตาย ... เวลากลางคืนมีความหมายถึงเวลาแห่งการไม่ปฏิสัมพันธ์ ไม่พูดจากัน เวลาที่ผู้คนจะไม่เห็นกันและกัน มันเป็นเครื่องหมายของความไม่สมบูรณ์แบบ กล่าวคือ มันเป็นอุปสรรคของความจริง กลางคืนเป็นสถานที่ซึ่งปีศาจได้แอบซ่อนตัวมันไว้ก่อนความสว่างจะส่องแสง พระเยซูทรงเป็นองค์ความสว่างและความจริง เป็นความบริสุทธิ์ และเป็นคุณงามความดี พระเยซูทรงเผชิญหน้ากับเวลากลางคืนเพื่อเอาชนะมัน และเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ของพระเจ้าในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ"
"ในคืนวันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ เราต้องให้ความสำคัญกับเนื้อหาของบทภาวนาที่พระเยซูสวดบนภูเขามะกอก พระเยซูตรัสภาวนาว่า 'อับบา พระบิดา พระองค์ทรงทำทุกสิ่งได้ โปรดนำถ้วยนี้ไปจากข้าพเจ้าเถิด อย่าให้มันเป็นไปตามใจข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์' (มาร์โก 14:36) ความตั้งใจตามตามประสามนุษย์ของผู้ชายชื่อเยซูคือตกอยู่ในความกลัว พระองค์ทรงถาม(พระบิดา)ถึงการขอให้มันผ่านพ้นไปเถิด ในฐานะพระบุตร พระเยซูทรงมอบความต้องการตามประสามนุษย์ไว้กับพระประสงค์ของพระบิดา นั่นคือ อย่าเป็นไปใจตามข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ บนหนทางนี้ พระเยซูได้แปรเปลี่ยนบาปที่อดัมทำไว้มาเป็นการรักษามนุษยชาติ ท่าทีของอดัมต่อพระเจ้าก็คือ ไม่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า แต่ทำตามใจตนเอง ตัวเราต้องการเป็นพระเจ้า ความทะนงตนนี้คือบาปอย่างแท้จริง"
"เราคิดว่าเราเป็นอิสระแท้จริงเพียงแต่เราได้ทำตามใจตนเอง พระเจ้าจึงกลายเป็นศัตรูกับเสรีภาพของเรา เราต้องการเป็นอิสระจากพระองค์ นี่เป็นพื้นฐานการกบฏที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์และพื้นฐานการหลอกลวงที่นำชีวิตเราไปในทางที่ผิด เมื่อมนุษย์ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า พวกเขาก็ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับความจริงของตัวเอง และผลที่ตามมาก็คือพวกเขาไม่ได้เป็นอิสระแท้จริง แต่ตกเป็นทาสของตัวเอง เราจะเป็นอิสระได้ ถ้าเรายืนข้างความจริงที่เราเป็นและร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า"
"ตอนนี้ พระเยซูทรงแก้ปัญหาการเป็นปฏิปักษ์กัน ระหว่างการนบนอบเชื่อฟัง(พระประสงค์พระเจ้า) กับเสรีภาพแล้ว พระองค์ทรงเปิดทางสู่เสรีภาพแท้จริงให้กับเราทุกคน" พระสันตะปาปา ตรัสปิดท้าย
ประมวลภาพ: พระสันตะปาปาถวายมิสซาระลึกถึงพระเยซูทรงตั้งศีลมหาสนิท
Comments
Post a Comment