ฟาติมาสาร - เม็กซิโกและคิวบา ... ทริปที่สุดยอดของพระสันตะปาปา (8 เมษายน 2012)

ตามสัญญา บทความในวันนี้จะมาว่ากันด้วยบทสรุปของสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 เสด็จเยือนเม็กซิโกและคิวบา ซึ่งมีขึ้นไปเมื่อวันที่ 23-28 มีนาคม 2012 การเสด็จเยือนครั้งนี้ ตอนแรก ผมไม่ได้คิดว่ามันจะ “สุดยอด” ขนาดนี้ แต่เมื่อตามติดแบบใกล้ชิดและดูกระแสสังคมทั้งจากสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น, บีบีซี และรอยเตอร์ส สามสำนักข่าวชั้นนำของโลก บอกได้คำเดียวว่า “พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ไม่ธรรมดาจริงๆ”




หากใครติดตามทริปนี้ น่าจะเห็นภาพ “พระสันตะปาปาทรงพระดำเนินพร้อมไม้เท้า” ระหว่างเสด็จมาขึ้นเครื่องบินออกจากสนามบินเลโอนาร์โด้ ดา วินชี่ กรุงโรม ประเทศอิตาลี เพื่อมุ่งหน้าสู่ประเทศเม็กซิโก ตอนแรก ภาพดังกล่าวสร้างความหวาดวิตกให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ทรงพระดำเนินพร้อมไม้เท้าให้สาธารณชนได้เห็นอย่างเป็นทางการ กระนั้น วาติกันได้ออกมาปรามๆความหวาดวิตกของทุกฝ่าย พร้อมชี้แจงว่า จริงๆแล้ว พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ทรงใช้ไม้เท้าช่วยเดินมานานแล้ว พระองค์ใช้ในการเดินพักผ่อนในสวนหย่อมวาติกัน เพียงแค่ไม่ใช้ให้ทุกคนได้เห็นเท่านั้นเอง

ทันทีที่เสด็จถึงเม็กซิโก พระสันตะปาปาทรงกล่าวย้ำในพิธีรับเสด็จพระองค์ว่า “พ่อเดินทางมาในฐานะผู้จาริกแสวงบุญแห่งความเชื่อ ความหวัง และความรัก มาเพื่อให้สนับสนุนเสรีภาพในการนับถือศาสนา” สาเหตุที่พระสันตะปาปาตรัสแบบนี้ ก็เพราะในค.ศ.1920 เม็กซิโกมีลัทธิต่อต้านพระสงฆ์คาทอลิกแผ่อิทธิพลรุนแรงไปทั่วประเทศ แนวคิดดังกล่าวทำให้รัฐบาลในยุคนั้น ประกาศห้ามไม่ให้พระศาสนจักรคาทอลิกเป็นเจ้าของโรงเรียนและสถาบันการศึกษา นอกจากนี้ ยังห้ามไม่ให้สงฆ์คาทอลิกแต่งกายในชุดสงฆ์ในที่สาธารณะด้วย การกีดกันเสรีภาพในการนับถือศาสนาและเกลียดชังสงฆ์คาทอลิกในเม็กซิโก ยังคงพบเห็นได้ถึงทุกวันนี้ พระสันตะปาปาจึงตรัสพระดำรัสเริ่มการเสด็จเยือน ด้วยการให้กำลังใจคาทอลิกในเม็กซิโกมีเสรีภาพนั่นเอง

ก่อนการถวายมิสซาแรกในเม็กซิโกท่ามกลางสัตบุรุษกว่า 500,000 คน พระสันตะปาปาทรงอนุญาตให้เหยื่อความรุนแรงของขบวนการค้ายาเสพติดในเม็กซิโกได้เข้าเฝ้าและให้กำลังใจพวกเขา พระสันตะปาปาทราบดีว่า เม็กซิโกเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอาชญากรรมอันเกิดจากสงครามยาเสพติดมากสุดในโลก นับตั้งแต่ ค.ศ. 2007-2012 ชาวเม็กซิกันต้องสังเวยชีวิตไปกว่า 50,000 ศพ จากการสังหารของขบวนการค้ายาเสพติด ในส่วนบทเทศน์ของมิสซานี้ พระสันตะปาปาทรงเตือนสติคาทอลิกเม็กซิกันว่า “ช่วงเวลาแห่งความยากลำบากได้สอนประชากรของพระเจ้าไม่ให้วางใจในความเก่งกาจของตัวเอง แต่จงวางใจในพระเจ้า ... พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยมนุษยชาติให้รอด เราต้องวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อพระเจ้า เพราะพระองค์คือบ่อเกิดของชีวิตและเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งมวล”

ช่วงเย็นหลังจากมิสซาจบลง พระสันตะปาปาทรงเป็นประธานในการสวดทำวัตรเย็น โดยผู้ร่วมพิธีได้แก่บรรดาพระสังฆราชจากทั่วทวีปลาตินอเมริกา ในส่วนบทเทศน์ของพิธีนี้ ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญที่ดังไปทั่งโลก แม้แต่เว็บไซต์สถานีวิทยุวาติกันก็เอามาขึ้นเป็นข่าวหน้าหนึ่ง เพราะพระสันตะปาปาเตือนสติบรรดาพระสังฆราชว่า “ฆราวาสไม่ใช่พลเมืองชั้นสองในพระศาสนจักร”

พระสันตะปาปาตรัสว่า “จงเอาใจใส่อย่างยิ่งยวดต่อสมาชิกกลุ่มฆราวาส เฉพาะอย่างยิ่ง ผู้อุทิศตนให้กับงานคำสอน พิธีกรรม กิจกรรมการกุศล และผู้อุทิศตนทำงานให้สังคม มันไม่ถูกต้องสำหรับพวกเขาที่จะเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่า ได้รับการปฏิบัติเหมือนพลเมืองชั้นสองในพระศาสนจักร ทั้งๆที่พวกเขาได้อุทิศตนทำงานให้สำเร็จลุล่วงอย่างสอดคล้องกับกระแสเรียกของตน ... เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับบรรดาผู้อภิบาลที่ต้องทำให้เกิดความมั่นใจว่า จิตวิญญาณของความเป็นหนึ่งเดียวกันในหมู่พระสงฆ์ นักบวช และฆราวาส จะดำรงอยู่ ส่วนความแตกแยก คำครหา และความไม่ไว้วางใจกัน ต้องหลีกเลี่ยงสิ่งพวกนี้” (หวังว่า พระดำรัสของพระสันตะปาปาตอนนี้ จะเป็นกำลังใจให้กับบรรดาฆราวาสทุกคนที่ทำงานรับใช้พระศาสนจักรอย่างจริงจัง  จำไว้ว่า พระสันตะปาปาไม่เคยลืมพวกคุณ!!)

นอกจากนี้ พระสันตะปาปายังตรัสเตือนสติพระสังฆราชถึงแนวทางการดูแลพระสงฆ์ภายใต้การปกครองว่า “จงดำรงความสนิทแน่นแฟ้นกับบรรดาพระสงฆ์ พวกเขาต้องไม่สูญเสียความเข้าใจและการสนับสนุนจากพระสังฆราชของพวกเขา แต่ถ้าถึงคราวจำเป็น จงตักเตือนทัศนคติที่ไม่เหมาะสมของพวกเขา ด้วยความรักแบบพ่อ”

จบจากเม็กซิโก พระสันตะปาปาได้ประทับเครื่องบินมุ่งหน้าสู่คิวบา ดินแดนที่ถูกปกครองด้วยรัฐบาลคอมมิวนิสต์มานานแสนนาน ณ ดินแดนแห่งนี้ ถือเป็น “ที่สุด” ของทริปนี้ก็ว่าได้ เพราะพระสันตะปาปาทรงพบกับ “พี่น้องคาสโตร” ราอูล คาสโตร ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน และ ฟีเดล คาสโตร พี่ชายผู้ถอยออกมาเป็นฉากหลัง

พระสันตะปาปาได้เสด็จไปพบกับ ราอูล คาสโตร ที่ทำเนียบประธานาธิบดี และที่นี่เองที่ทำให้สื่อมวลชนทั่วโลกชื่นชมและโค้งคาราวะพระสันตะปาปาผู้ทรงพระชนมายุ 84 ชันษาองค์นี้ นั่นคือ พระสันตะปาปาทรงขอร้อง ราอูล คาสโตร ได้โปรดพิจารณาให้วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์เป็นวันหยุดราชการของคิวบา พระสันตะปาปาทรงใช้เวลาประมาณ 30 นาที อธิบายให้ คาสโตร เข้าใจถึงความสำคัญของวันดังกล่าวซึ่งเป็นวันที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน (ฟีเดล และ ราอูล คาสโตร ประกาศตนไม่มีศาสนา แม้ทั้งคู่จะเกิดมาในสังคมคาทอลิกและเรียนจบจากโรงเรียนของคณะเยสุอิต) ผลที่ตามมาก็คือรัฐบาลคอมมิวนิสต์คิวบาอนุมัติให้วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์เป็นวันหยุดประจำชาติ โดยให้เหตุผลว่า เป็นการให้เกียรติกับพระสันตะปาปาและตระหนักถึงผลลัพธ์เชิงบวกของการเสด็จเยือนประเทศคิวบาของพระองค์ (ค.ศ.1998 สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 เคยขอร้อง ฟีเดล คาสโตร ประธานาธิบดีของคิวบาในช่วงนั้น ได้โปรดประกาศให้ “วันคริสต์มาส” เป็นวันหยุดประจำชาติ ผลที่ตามมาก็คือ รัฐบาลคิวบาตัดสินใจประกาศให้วันคริสต์มาสเป็นวันหยุดประจำชาติด้วย)

จบจากการพบกับ ราอูล คาสโตร ก็ถึงคิวของการพบกับ “ฟีเดล คาสโตร” อดีตประธานาธิบดีฮาร์ดคอร์ของคิวบา การพบกันของพระสันตะปาปาผู้ทรงพระชนมายุ 84 ชันษา กับ ฟีเดล คาสโตร วัย 85 ปี เกิดขึ้นในบ้านพักสมณทูตวาติกัน รายละเอียดของการสนทนาไม่ดุดัน แต่ออกไปทางน่ารักมากกว่า

ทั้งนี้ ตามคำสัมภาษณ์ของ คุณพ่อเฟเดริโก้ ลอมบาร์ดี้ ผู้อำนวยการศูนย์ข่าววาติกัน ได้เปิดเผยว่า “การพบกันและการสนทนานั้นเป็นไปแบบอบอุ่นมากๆ ฟีเดล คาสโตร ได้ถามพระสันตะปาปาเกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมในพระศาสนจักรคาทอลิกหลังจากสังคยานา วาติกัน ที่ 2 ว่าเป็นอย่างไรบ้าง รวมไปถึงพันธกิจในแต่ละวันที่พระสันตะปาปาทรงปฏิบัติ นอกจากนี้ เขายังแสดงความหวังที่จะเห็น บุญราศี จอห์น ปอล ที่ 2 และ บุญราศี เทเรซาแห่งกัลกัตต้า ได้เป็นนักบุญโดยเร็ว”

“ฟีเดล คาสโตร ยังบอกพระสันตะปาปาว่า ตัวเขาเองติดตามพันธกิจพระสันตะปาปาเยือนคิวบาทุกวันผ่านทางโทรทัศน์ คาสโตรกล่าวติดตลกกับพระสันตะปาปาว่า ‘เราอายุใกล้เคียงกันเลยนะ’ ขณะที่พระสันตะปาปาทรงหัวเราะและตอบกลับว่า ‘ใช่ เราแก่เหมือนกัน แต่เรายังสามารถหน้าที่และทำงานได้’ นอกจากนี้ พระสันตะปาปายังทรงแสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับการที่คนสมัยนี้ไม่มีศาสนามากขึ้นเรื่อยๆด้วย”

ในส่วนของมิสซาสุดท้ายที่พระสันตะปาปาถวายในคิวบา พระองค์ทรง “กล้า” ที่จะเรียกร้องเสรีภาพในการนับถือศาสนา ที่ผมบอกว่ากล้าก็เพราะคิวบาเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์และจำกัดเสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นอย่างมาก กระนั้น หลังจากการเสด็จเยือนของบุญราศี จอห์น ปอล ที่ 2 คิวบาได้ผ่อนปรนให้กับการนับถือศาสนา แต่ยังไม่ถือว่ามีเสรีภาพเท่าที่ควร ทุกอย่างยังต้องอยู่ใต้การควบคุมของรัฐบาล

พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ จึงตรัสว่า “มันเป็นเรื่องน่ายินดีที่คิวบาเปิดทางให้พระศาสนจักรได้ประกาศความเชื่อแบบเปิดเผยและไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ ... เสรีภาพในการนับถือศาสนาแสดงให้เห็นถึงเอกภาพของตัวมนุษย์ การสนับสนุนเสรีภาพในการนับถือศาสนาได้หลอมรวมสังคมให้เป็นหนึ่ง มันหล่อเลี้ยงความหวังของโลก มันก่อให้เกิดเงื่อนไขที่เหมาะกับการพัฒนาสันติภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกัน นอกจากนี้ มันยังก่อให้เกิดรากฐานอันแข็งแรงต่อสิทธิมนุษยชนของคนรุ่นต่อไป”

... ทั้งหมดนี้ก็คือบทสรุปของพระสันตะปาปาเสด็จเยือนเม็กซิโกและคิวบา ตั้งแต่ติดตามพระสันตะปาปาองค์นี้มาเกือบ 7 ปีเต็ม ผมยกให้ทริปนี้เป็นทริปที่น่าจะสมบูรณ์แบบที่สุดในทุกๆด้าน ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นสำนักข่าวที่ไม่ใช่สายคาทอลิก (อาทิ บีบีซี, ซีเอ็นเอ็น, รอยเตอร์ส, เอเอฟพี รวมไปถึง สำนักข่าวไทย หรือ “อสมท”) นำเสนอเรื่องราวพระสันตะปาปาไปในทิศทางบวกเหมือนกันทุกแห่ง จบจากทริปนี้ บอกได้คำเดียวว่า ความนิยมในตัวพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 เริ่มพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆในสายตาคนทั่วไปแล้ว


AVE   MARIA

Comments