ฟาติมาสาร - ตุรกี ... อีกหนึ่งประเทศที่คริสตชนไม่ควรพลาด (ตอนจบ - 29 เมษายน 2012)

สัปดาห์ที่แล้ว ผมบอกเล่ารายละเอียดของการเดินทางไปเที่ยวเมืองอิสตันบูล (ชื่อยุคโบราณคือ “คอนสแตนติโนเปิ้ล”), บ้านแม่พระ และเมืองเอเฟซุส วันนี้ เราจะมาต่อกันที่เมืองอื่นๆในทริปนี้ ซึ่งทั้งหมดนั้น มีความเกี่ยวข้องกับคริสตศาสนาและนักบุญเปาโลแทบทั้งสิ้น

ก่อนลงลึกถึงรายละเอียด มีหลายคนถามผมว่า การไปเที่ยวครั้งนี้ ผมไปเองหรือซื้อทัวร์ คำตอบคือผมซื้อทัวร์จากมหกรรมท่องเที่ยวที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ปกติ ผมเป็นคนชอบเที่ยวด้วยตัวเอง ไม่ชอบไปทัวร์ แต่การไปตุรกี ผมแนะนำว่าไปทัวร์ดีที่สุด เพราะการเดินทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งค่อนข้างยากลำบาก ดังนั้น ซื้อทัวร์จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด นอกจากนี้ การไปตุรกี ไม่จำเป็นต้องไปซื้อทัวร์จากบริษัททัวร์คาทอลิก (แต่ถ้าไปอิสราเอล ถึงจะจำเป็น) เพราะทุกที่ที่บริษัททัวร์ไปนั้น พวกเขาพาไปบ้านแม่พระและตามรอยนักบุญเปาโลอยู่แล้ว ขึ้นกับว่า เราจะสนใจหาข้อมูลก่อนไหมว่า ที่ที่ไปนั้นเกี่ยวข้องกับแม่พระและนักบุญเปาโลอย่างไร (ผมแนะนำว่า ถ้าซื้อทัวร์ไปตุรกี ให้อ่านฟาติมาสารฉบับนี้กับฉบับที่แล้วก็ได้ เพราะถ้าคุณไปตุรกี คุณก็จะไปตามเส้นทางเหล่านี้เหมือนกัน) ...

อิโคนิอุม เมืองที่นักบุญเปาโลและนักบุญบาร์นาบัส จะถูกเอาหินทุ่ม

ถัดจากบ้านแม่พระ ผมเดินทางมาที่เมือง “คอนย่า” (ภาษาลาตินและไบเบิ้ลภาษาไทย เรียกว่าเมืองนี้ว่า “อิโคนิอุม”) เมืองนี้อยู่ตอนกลางของแคว้นอนาโตเลีย ผมค้นข้อมูลก่อนมาเยือน พบว่า นี่เป็นเมืองที่นักบุญเปาโลและนักบุญบาร์นาบัสเดินทางไปประกาศพระวรสารและรักษาคนเจ็บป่วย จนทำให้ชาวพื้นเมืองไม่พอใจและวางแผนจะเอาหินทุ่ม แต่ที่สุด ทั้งสองก็หลบนี้ไปได้ (อ่านได้ในกิจการอัครสาวก 14:1-7) ความสำคัญของเมืองนี้กับนักบุญเปาโลก็มีเท่านี้


ส่วนอื่นๆที่อยากแบ่งปันคือเมืองนี้มี “พิพิธภัณฑ์และสุสานเมฟลานา” เมฟลานา (ค.ศ.1207-1273) เป็นชาวมุสลิมที่เชิญชวนให้ชนพื้นเมืองที่เป็นคริสต์ให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม โดยมีกฏว่าการเชิญชวนนี้ต้องตั้งอยู่บนมิตรภาพที่ดีต่อกัน ภายในพิพิธภัณฑ์มีหลุมศพและคัมภีร์อัลกุรอานจัดแสดง แต่ไฮไลต์สำคัญคือมี “หนวดเคราของท่านศาสดามุฮัมมัด” ให้ชาวมุสลิมได้มาเคารพและขอพรด้วย


“โคโลสี” และ “ฮีเอราโปลิส” เมืองคริสตชนเข้มแข็ง

ฉบับที่แล้ว ผมได้เห็นเมือง “เอเฟซุส” ตัวจริงเสียงจริงเสียที หลังจากได้ยินแต่ชื่อมานานเกือบ 30 ปี มาครั้งนี้ ผมได้สัมผัสกับเมือง “โคโลสี” เมืองที่ได้ยินผ่านบทอ่านในมิสซาเป็นประจำว่านักบุญเปาโลเขียนจดหมายถึงคริสตชนที่นั่น

ในโปรแกรมทัวร์ของทุกบริษัทที่มาตุรกี จะต้องมีไปเยือน “ปามุคคาเล่” เมื่อใดที่คุณมาปามุคคาเล่ ให้รู้ได้เลยว่า คุณกำลังมาเยือนเมือง “โคโลสี” และ “ฮีเอราโปลิส” เพราะทั้งสองเมืองตั้งอยู่บนภูเขาที่มีน้ำพุเกลือแร่ร้อนในเมืองปามุคคาเล่นั่นเอง เรื่องนี้ ใครค้นข้อมูลมาก่อนถึงจะทราบ เพราะไกด์จะไม่อธิบาย ถ้าหากคุณไม่สนใจเรื่องคริสตศาสนาและประวัติศาสตร์แบบจริงๆจังๆ (พูดถึงภูเขาน้ำพุร้อนแห่งนี้ ยูเนสโก้จัดให้เป็นมรดกโลกด้วย ภูเขานี้มีน้ำพุเกลือแร่ร้อนไหลลงมา น้ำแร่ร้อนสายนี้มีส่วนผสมของแคลเซียมอ๊อกไซด์ซึ่งมีอุณหภูมิประมาณ 35 เซลเซียส และผลจากการแข็งตัวของแคลเซียมทำให้เกิดเป็นแก่งหินสีขาวราวหิมะขวางทางน้ำเป็นทางยาว ดูไกลๆแล้วคล้ายกับภูเขาหิมะเป็นอย่างมาก)

สภาพเมืองโคโลสีและฮีเอราโปลิสในปัจจุบัน ต้องบอกว่าเหลือแต่ “ซาก” ซึ่งแตกต่างจากเอเฟซุสเป็นอย่างมาก เอเฟซุสยังเป็นซากโบราณสถานแบบยิ่งใหญ่ แต่โคโลสีและฮีเอราโปลิสเหลือแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง ในจดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวโคโลสี (4:13) ท่านเขียนถึงชาวเมืองฮีเอราโปลิสด้วย

หลุมศพนักบุญฟิลิป อัครสาวก
นอกจากนี้ อีกหนึ่งความสำคัญของเมืองฮีเอราโปลิสก็คือ “นักบุญฟิลิป อัครสาวก” ได้ยอมตายด้วยการถูกตรึงกางเขนที่เมืองนี้ นักโบราณคดีของตุรกีได้ขุดพบหลุมศพของท่านที่เมืองนี้เมื่อวันที่ 27 กรกฏาคม ค.ศ.2011 โลงดังกล่าวเป็นโลงศพหิน ผลการพิสูจน์อายุปรากฏว่าอยู่ในศตวรรษที่ 1 บนโลงศพสลักชื่อว่า “ฟิลิป อัครสาวกของพระเยซู”


“คัปปาโดเกีย” เยี่ยมถ้ำที่นักบุญเปาโลมาหลบภัยและตั้งกลุ่มคริสตชน

ถ้าจุดมุ่งหมายหลักของการมาตุรกีของผมคือการแสวงบุญบ้านแม่พระ ผมว่า “การได้เข้าไปในถ้ำที่นักบุญเปาโลมาหลบภัย” ถือเป็นอีกหนึ่งโบนัสล้ำค่าของทริปนี้ก็ว่าได้

คัปปาโดเกียเป็นอีกเมืองที่ทัวร์ทุกคณะต้องมาเยือน นี่คือเมืองมรดกโลก สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองนี้เต็มไปด้วยถ้ำที่เกิดจากเถ้าลาวาของภูเขาไฟที่ปะทุเมื่อหลายล้านปีก่อนคริสตกาล ที่สำคัญ เมืองนี้มีความสำคัญกับคริสตศาสนาและนักบุญเปาโลเป็นอย่างมาก นี่เป็นเมืองที่นักบุญเปาโลหนีมาหลบภัยในถ้ำใต้ดินหลังถูกเนรเทศออกจากกรุงเยรูซาเล็ม ขณะเดียวกัน คัปปาโดเกียยังเป็นเมืองแรกๆที่นักบุญเปาโลก่อตั้งกลุ่มคริสตชนขึ้นด้วย เราจะพบเห็นเมืองนี้ได้ในหนังสือกิจการอัครสาวก (2:9)

พูดถึงถ้ำที่นักบุญเปาโลหนีมาหลบภัย ถ้ำนี้เป็นถ้ำใต้ดินลึกลงไปประมาณ 85 เมตร (มีทั้งหมด 11 ชั้น) ซึ่งต่อมา คริสตชนกลุ่มแรกที่นักบุญเปาโลตั้งขึ้น ได้ใช้ที่นี่เป็นฐานหลบภัยเวลาพวกโรมันมาเข่นฆ่า ภายในถ้ำ มีทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตทั้งกายและจิตวิญญาณ พูดถึงฝ่ายกาย ที่นี่มีห้องนอน (แต่ไม่ได้นอนแบบดีๆนะครับ เป็นการนอนแบบหลบภัย) นอกจากนี้ ยังมีห้องครัว ห้องเก็บอาหาร ห้องนวดแป้งใช้ทำขนมปัง และห้องผลิตเหล้าองุ่นไว้ดื่มเวลามีงานเลี้ยงและใช้ในพิธีมิสซา ส่วนฝ่ายจิตวิญญาณ ถ้ำนี้มีโบสถ์ใช้ถวายมิสซา เป็นโบสถ์ที่สร้างในศตวรรษที่ 1 โดยมีก้อนหินที่นำมาเป็นพระแท่นวางอยู่ตรงกลาง และมีกำแพงที่มีรอยไม้กางเขนจารึกอยู่เพื่อบอกว่านี่คือโบสถ์ด้วย ความมหัศจรรย์ที่ทำให้ผมอึ้งก็คือคนโบราณเก่งมากๆ ขุดถ้ำลงไปถึง 85 เมตรเพื่อเป็นหลุมหลบภัย แถมขุดห้องใต้ดินต่างๆให้เชื่อมกันหมด เรียกได้ว่า เป็นพระพรที่พระเจ้ามอบให้ในการหลบภัยจากการเบียดเบียนศาสนาอย่างแท้จริง

นอกจากถ้ำใต้ดินแล้ว เมืองคัปปาโดเกียยังมีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งชื่อว่า “เกอเรเม่” พิพิธภัณฑ์นี้เป็นถ้ำบนดิน (ต่างจากถ้ำนักบุญเปาโลที่เป็นใต้ดิน) ถ้ำเหล่านี้เป็นที่อยู่ของคริสตชนยุคแรกเริ่ม สมัยศตวรรษที่ 1-4 ตอนที่ศาสนาคริสต์ยังเป็น “ของต้องห้าม” ในอาณาจักรโรมัน คริสตชนมากมายหนีมาหลบภัยจากการเบียดเบียนในที่แห่งนี้ แต่พอศตวรรษที่ 4 เป็นต้นไปที่ “จักรพรรดิคอนสแตนติน” กลับใจมาเป็นคริสตชนและประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาทางการของอาณาจักรโรมัน ถ้ำเหล่านี้จึงกลายมาเป็นโบสถ์คาทอลิกและอารามนักบวชที่มีนักบุญชื่อดังหลายองค์มาพำนักในที่แห่งนี้

โบสถ์ในถ้ำที่ดังๆก็คือโบสถ์แอปเปิ้ล (APPLE CHURCH) และโบสถ์งู (SNAKE CHURCH) สาเหตุที่ชื่อโบสถ์แอปเปิ้ล เพราะสมัยนั้นมีต้นแอปเปิ้ลขึ้นอยู่ข้างๆ คนจึงเรียกแบบนี้ ส่วนโบสถ์งู มีที่มาจากภาพวาดบนฝาผนังที่เป็นรูปนักบุญจอร์จ (เซนต์ จอร์จ องค์อุปถัมภ์ของอังกฤษ) ขี่ม้าเอาหอกแทงมังกร แต่คนสมัยนั้น มองไม่ออกว่านี่คือมังกร พวกเขาคิดว่างู จึงเรียกง่ายๆว่า โบสถ์งู ... ทั้งสองโบสถ์ดังมากจนทุกคนที่มาเยือนต้องเข้าไปดู เพราะจิตรกรรมภาพวาดเกี่ยวกับคริสตศาสนานั้นงดงามมาก ภาพเหล่านี้วาดกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 และคงอยู่ถึงปัจจุบัน  

ภาพวาดบนเพดานของโบสถ์แอปเปิ้ล

ภาพวาด "นักบุญจอร์จ" ในโบสถ์งู

ในส่วนนักบุญที่มีชื่อเสียงมากสุดที่พำนักในถ้ำนี้คือ “นักบุญบาซิล พระสังฆราชและนักปราชญ์ของพระศาสนจักร” (มีชีวิตระหว่าง ค.ศ.329-379 พระศาสนจักรกำหนดให้ระลึกถึงวันที่ 2 มกราคมของทุกปี) ผมได้เข้าไปในถ้ำที่นักบุญบาซิลใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มนักบวชด้วย ผมได้เห็นโต๊ะอาหารที่นักบุญบาซิลนั่งทานกับคณะนักบวช ท่านจะเน้นกับนักบวชทุกคนว่า เวลาทานข้าว ต้องสวดและทานพร้อมกัน นี่เป็นจิตตารมณ์ของกลุ่มนักบวชตั้งแต่สมัยโบราณก็ว่าได้ ทุกวันนี้ โต๊ะที่นักบุญบาซิลและคณะนักบวชทานอาหารก็ยังคงอยู่ ถ้าใครไปเยือน ก็อย่าพลาดเข้าไปเยี่ยมชมและสวดภาวนา

... ทั้งหมดก็เป็นบทสรุปคร่าวๆของการเยือนตุรกี หวังว่า ผู้อ่านจะได้ความรู้ไม่มากก็น้อยจากทริปที่ตอนแรกตั้งใจจะไปแสวงบุญแค่บ้านแม่พระ แต่กลับได้โบนัสพิเศษคือการตามรอยนักบุญเปาโลแบบเต็มๆ กระนั้น ผมยังไม่สะใจกับการตามรอยนักบุญเปาโล เพราะมันยังไม่สมบูรณ์แบบ ผมจึงคิดเล่นๆว่า ในอนาคต ผมจะเดินทางไปกรีซ เพื่อไปตามรอยนักบุญเปาโลที่เดินทางไปแพร่ธรรมที่นั่น ผมเช็คทัวร์ไปกรีซแล้ว ส่วนมาก แทบไม่เกี่ยวข้องกับเส้นทางนักบุญเปาโล จึงสรุปได้ว่า ถ้าจะไปตามรอยนักบุญเปาโลที่กรีซ คงต้องเดินทางไปเองตามที่ผมชอบแน่ๆ เมืองในกรีซที่เกี่ยวข้องกับนักบุญเปาโล ได้แก่ เอเธนส์, โครินธ์, เธสะโลนิกา, อเล็กซานเดรีย และ ฟิลิปปี ... ตอนนี้คิดทริปนี้ในใจแล้ว รอแค่ว่า พระเจ้าจะให้วันเวลาและความพร้อมที่เหมาะสมเมื่อไหร่ ผมจะไปลุยแน่นอน!!


AVE   MARIA


Comments

  1. ขอบคุณมากค่ะ ที่แบ่งปัน น่าสนใจมาก..

    ReplyDelete

Post a Comment