ฟาติมาสาร - น้องผม ... พระสันตะปาปา (11 มีนาคม 2012)
วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา มีงานเปิดตัวหนังสือเล่มหนึ่งที่น่าสนใจมาก หนังสือเล่มนี้ชื่อ “MY BROTHER, THE POPE” หรือแปลเป็นไทยว่า “น้องผม ... พระสันตะปาปา” หนังสือเล่มนี้เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ “มองซินญอร์ เกยอร์ก รัตซิงเกอร์” สงฆ์เกษียณอายุวัย 88 ปีของอัครสังฆมณฑลมิวนิคและไฟร์ซิ่ง ประเทศเยอรมนี หลายคนคงไม่รู้จักมองซินญอร์คนนี้ว่าเป็นใคร คำตอบก็คือท่านเป็นพี่ชายแท้ๆของสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 นั่นเอง
![]() |
โยเซฟ รัตซิงเกอร์ ในวัยเด็ก (สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16) |
จริงๆแล้ว หนังสือเล่มนี้วางแผงครั้งแรกไปตั้งแต่ปลายปี 2011 ในเวอร์ชั่นภาษาเยอรมัน ภายใต้ชื่อว่า “MEIN BRUDER, DER PAPST” (แปลว่า “น้องผม ... พระสันตะปาปา” เหมือนกัน) ผู้สัมภาษณ์ก็คือ มิชาเอล เฮสมันน์ รายละเอียดในหนังสือเป็นการบอกเล่าเรื่องราวความผูกพันระหว่างลูกชายทั้งสองของตระกูลรัตซิงเกอร์ เป็นชีวิตตั้งแต่วัยเด็กเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ผมเห็นว่าน่าสนใจดีจึงนำมาแบ่งปันให้อ่านกัน (ครอบครัวรัตซิงเกอร์ มีลูก 3 คน คนโตเป็นผู้หญิงชื่อว่า “มาเรีย รัตซิงเกอร์” ซึ่งเสียชีวิตแล้ว คนที่สองคือ “เกยอร์ก รัตซิงเกอร์” และลูกคนเล็กก็คือ “โยเซฟ รัตซิงเกอร์” หรือพระสันตะปาปานั่นเอง)
บทสัมภาษณ์เริ่มด้วยการรำลึกความทรงจำวัยเด็ก มองซินญอร์เกยอร์กเล่าถึงพระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันว่า “ตอนแรกเกิด โยเซฟตัวเล็กมากและป่วยบ่อยเหลือเกิน โรคที่พ่อจำได้แม่นเลยคือโรคคอตีบ” (โรคคอตีบ พบมากในเด็กอายุแรกเกิดถึง 5 ขวบ)
จากนั้นเป็นการรำลึกความทรงจำเรื่องของเล่นในวัยเด็กที่พี่น้องคู่นี้มักจะเล่นด้วยกัน มองซินญอร์เกยอร์ก เล่าว่า “ของเล่นสุดโปรดของโยเซฟคือตุ๊กตาหมี ตอนอายุ 2 ขวบ เขาชอบมากที่ได้อุ้มตุ๊กตาเท็ดดี้แบร์ 2 ตัว แล้วเดินไปรอบๆบ้าน พอเขาอายุ 4 ขวบ ตอนนั้นประมาณ ค.ศ.1931 มีพระคาร์ดินัลเดินทางมาเยี่ยมหมู่บ้าน ครอบครัวของเราออกไปยืนต้อนรับพระคาร์ดินัล จู่ๆ โยเซฟก็ตะโกนออกมาตอนที่พระคาร์ดินัลเดินผ่านหน้าว่า ‘ผมจะต้องเป็นพระคาร์ดินัลให้ได้’ แต่เชื่อซิ พอโตขึ้นและเราได้บวชเป็นพระสงฆ์ พวกเราไม่เคยมีความทะเยอทะยานที่จะเป็นพระคาร์ดินัลเลย เรารู้ว่านี่เป็นสถานะที่มีเกียรติ แต่พวกเราไม่เคยคิดฝันจะได้ตำแหน่งนี้เลย”
“ส่วนของเล่นอีกชิ้นที่เราสองพี่น้องเล่นร่วมกันเสมอคือเราจะเล่นทำมิสซา คุณลุงของเราได้สร้างพระแท่นทำมิสซาลาติน (พระแท่นสมัยโบราณที่พระสงฆ์หันหลังให้สัตบุรุษ) เพื่อเป็นของขวัญให้เราสองคน มันเป็นพระแท่นจำลองที่เจ๋งและงดงามมาก เราจะผลัดกันเล่นเป็นพระสงฆ์และเด็กช่วยมิสซา สิ่งที่จำได้แม่นเลยก็คือเวลาเสกเหล้าองุ่น เราจะใช้น้ำเปล่าแทนเหล้าองุ่น เพราะบ้านของเราไม่ได้ร่ำรวยถึงขั้นซื้อไวน์มาให้ลูกๆเล่นแบบนี้”
ในส่วนของอิสระการดำเนินชีวิตในครอบครัว การเลือกแนวทางว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไรนั้น มองซินญอร์เกยอร์ก บอกว่า “พ่อแม่ไม่เคยบังคับพวกเราว่าต้องบวชเป็นพระสงฆ์ให้ได้ ท่านให้อิสระการดำเนินชีวิตกับลูกทุกคน สิ่งเดียวที่พ่อแม่จะเน้นและเข้มงวดมากๆก็คือห้ามพวกเราทิ้งพระเจ้า ท่านจะเอาใจใส่ความศรัทธาของพวกเรา เชื่อไหมว่า พวกเราไม่เคยเอาปัญหาการดำเนินชีวิตมาเป็นประเด็นทะเลาะกัน เพราะพ่อแม่จะบอกเราเสมอว่า ถ้ามีปัญหาเมื่อไหร่ จงไปสวดและรำพึงกับพระเจ้า พระองค์จะประทานทางออกให้กับเรา”
จบจากชีวิตวัยเด็กก็มาถึงชีวิตวัยรุ่นกันบ้าง ช่วงเวลาวัยรุ่นของสองพี่น้องรัตซิงเกอร์เป็นไปแบบไม่ราบรื่นเท่าไหร่ เพราะมันเป็นยุคที่กองทัพนาซีแผ่อำนาจในสงครามโลกครั้งที่ 2 แน่นอนว่า พี่น้องคู่นี้ถูกกองทัพนาซี “บังคับ” เข้าร่วมเป็นกำลังพลเสริมในฐานะยุวชนนาซี ทันที (ย้ำว่า “โดนบังคับ” เพราะเป็นกฏของฮิตเลอร์ ถ้าไม่เข้าร่วม คนที่เดือดร้อนคือพ่อแม่ นอกจากนี้ ครอบครัวจะถูกจับตามองและตัดการแจกจ่ายอาหารด้วย)
มองซินญอร์เกยอร์ก กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ตอนที่ฮิตเลอร์ออกกฏเรียกเยาวชนเยอรมันทุกคนเข้าร่วมเป็นกำลังพลเสริมในรูปแบบยุวชนฮิตเลอร์ คุณพ่อของเราโกรธและผิดหวังมาก พ่อพูดเลยว่า ‘นี่มันพวกต่อต้านพระเจ้าชัดๆ (ANTI-CHRIST)’ เราสองพี่น้องไปร่วมงานกับยุวชนฮิตเลอร์แบบไม่เต็มใจ ทุกครั้งเวลาพักจากการฝึก เราจะหาเวลาสวดภาวนาเสมอ เพื่อขอพระเจ้าโปรดช่วยยุติสงครามโดยเร็ว”
ถัดจากชีวิตเยาวชนก็เข้าสู่ชีวิตพระสงฆ์ ทั้งคู่ต่างแยกย้ายกันไปทำงานอภิบาลตามได้รับมอบหมาย โดยมองซินญอร์เกยอร์กได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่คอนดักเตอร์ประจำอัครสังฆมณฑลเรเกนส์บวร์ก ประเทศเยอรมนี ส่วนน้องชายของท่าน ถูกพระกำหนดเส้นทางไว้แล้ว โดยก้าวไกลถึงขั้นเป็นพระคาร์ดินัลและเป็นประธานสมณกระทรวงหลักความเชื่อ หน่วยงานสำคัญที่สุดของสันตะสำนัก (อีกมุมหนึ่งเรียกได้ว่า “เป็นมือขวาของสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2”)
มองซินญอร์เกยอร์ก กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “เราสองพี่น้องชอบเลี้ยงสุนัขเหมือนกัน รายการทีวีสุดโปรดก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสุนัขตำรวจซึ่งจะฉายหลังอาหารค่ำ เวลาที่ โยเซฟ ลาพักร้อนจากการทำงานที่วาติกันเพื่อกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด เราจะทำอาหารกินกันเองและล้างจานเอง พ่อ (มองซินญอร์เกยอร์ก) จะเป็นคนเช็ดจาน ส่วน โยเซฟ ซึ่งตอนนั้นเป็นพระคาร์ดินัล จะทำหน้าที่ล้างจาน เรารีบกินรีบล้าง เพื่อรีบไปดูรายการนี้”
ในส่วนของเหตุการณ์วันที่ 19 เมษายน ค.ศ.2005 ซึ่งเป็นวันที่ พระคาร์ดินัล โยเซฟ รัตซิงเกอร์ ได้รับเลือกจากคณะพระคาร์ดินัลให้ดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ มองซินญอร์เกยอร์กแบ่งปันความในใจว่า “หลังจากเสร็จสิ้นมิสซาปลงศพสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 พ่อมั่นใจว่าโยเซฟน่าจะแก่เกินไปที่จะได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่ (ตอนนั้น อายุ 78 ปี) แต่เมื่อพ่อได้ยินการประกาศชื่อพระสันตะปาปาองค์ใหม่ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ พ่อยอมรับว่าอึ้งไปเลย พ่อคิดว่า การทำหน้าที่พระสันตะปาปาเป็นความท้าทายสุดๆ มันเป็นงานที่หนักหนาสาหัสมากๆสำหรับโยเซฟ พ่อเป็นห่วงเขามากๆ”
พูดถึงภาระหนักอึ้งของพระสันตะปาปา ผมมั่นใจว่า หากติดตามข่าวเป็นประจำ เราจะเห็นข่าวพระสันตะปาปาถูกวิจารณ์และถูกให้ร้ายอยู่เป็นประจำ นักวิจารณ์บางคนที่ไม่ได้ติดตามและรู้เรื่องพระสันตะปาปาแบบใกล้ชิด ก็เอาแต่ด่าอย่างเดียว แต่ไม่ศึกษาความจริงเลย กระนั้น พระสันตะปาปาก็อดทนและสุภาพต่อคำด่าที่ถาโถมเข้ามาทุกสารทิศ
เรื่องนี้ มองซินญอร์เกยอร์ก บอกว่า “โยเซฟเป็นคนอ่อนไหวกับเสียงพวกนี้มากๆ แต่เขารู้ว่ามัน (คำด่าและการจ้องเล่นงาน) มาจากไหนและเขาก็มีเหตุผลตอบกลับเสียงเหล่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมโยเซฟเอาชนะเรื่องพวกนี้ได้ไม่ยาก”
ตอนท้าย เป็นการพูดคุยเรื่องเบาๆซึ่งได้แก่ชีวิตประจำวันของพระสันตะปาปาว่าทำอะไรบ้าง มองซินญอร์เกยอร์ก ตอบว่า “เท่าที่พ่อทราบ โยเซฟจะตื่นตี 5 ทุกวัน จากนั้น 7 โมง เขาจะถวายมิสซาเช้าในวัดน้อยพระสันตะปาปา 8 โมงเป็นเวลาอาหารเช้า 9 โมง โยเซฟจะไปนั่งโต๊ะทำงานและลงนามเอกสารต่างๆ ถ้าเป็นวันอังคาร 9 โมงเช้า โยเซฟจะนำเทปการออกเสียงพูดภาษาต่างๆมาฟังและฝึกพูด เพื่อเตรียมไว้ในวันพุธที่เขาจะออกไปพบปะสัตบุรุษในการเข้าเฝ้าทั่วไป จากนั้น 10 โมง จะเป็นเวลาอนุญาตให้ผู้นำประเทศต่างๆและคณะสัตบุรุษเข้าเฝ้าฯ ถ้าเป็นวันพุธ 10 โมง พระสันตะปาปาจะออกไปพบสัตบุรุษในการเข้าเฝ้าทั่วไป ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร ซึ่งโยเซฟจะทักทายสัตบุรุษเป็นภาษาต่างๆตามที่เขาได้ซ้อมมา บ่าย 1 เป็นเวลาอาหารเที่ยง จากนั้น จะเป็นเวลาพักผ่อน ถ้าเป็นคนอิตาเลี่ยนทั่วไปจะนอนกลางวัน แต่โยเซฟ ไม่เคยนอนกลางวันเลย เขาจะใช้เวลานี้เดินย่อยอาหารและอ่านหนังสือ พอมาถึงบ่าย 4 โมง โยเซฟจะเดินสวดสายประคำในสวนวาติกัน เมื่อมาถึง 6 โมงเย็น พระสันตะปาปาจะอนุญาตให้บรรดาพระคาร์ดินัลเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว เพื่อหารือปัญหาต่างๆในการทำงาน เวลาทุ่มครึ่งจะเป็นอาหารเย็น จากนั้น สองทุ่ม โยเซฟจะนั่งดูข่าวทางโทรทัศน์ สองทุ่มครึ่ง โยเซฟจะออกมาเดินออกกำลังอีกครั้งบนดาดฟ้าบ้านพักพระสันตะปาปา นี่ก็เป็นเวลาคร่าวๆในแต่ละวันที่โยเซฟใช้ในฐานะพระสันตะปาปา ส่วนเวลาเข้านอนนั้น โยเซฟจะเข้านอนประมาณ 5 ทุ่มทุกวัน”
... ทั้งหมดก็เป็นเรื่องราวน่ารักๆจากหนังสือ “น้องผม ... พระสันตะปาปา” จัดเป็นอีกหนึ่งเรื่องน่ารู้ที่หลายคนไม่เคยรู้ หวังว่า เรื่องราวในวันนี้ จะทำให้ทุกท่านรู้จัก สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ได้ใกล้ชิดมากขึ้นไปอีกนะครับ
AVE MARIA
ขออนุญาต แชร์ใน blog CORERR Volunteer.....นะคะ
ReplyDelete