ฟาติมาสาร - สัมมนาวาติกัน & อำลาสมณทูต (19 ก.พ. 2012)

เกริ่นไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า วาติกันได้เชิญสภาพระสังฆราชคาทอลิกทั่วโลกและอธิการเจ้าคณะนักบวชคาทอลิกทุกสำนัก ให้มาร่วมประชุมการป้องกันและการแก้ปัญหาสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ ภายใต้หัวข้อ “TOWARDS HEALING AND RENEWAL” (ก้าวไปสู่การเยียวยาและการเริ่มต้นใหม่) การประชุมนี้จัดที่มหาวิทยาลัยเกรโกเรี่ยน กรุงโรม ระหว่างวันที่ 6-9 กุมภาพันธ์ 2012 ... วันนี้ ผมจะมาสรุปประเด็นสำคัญให้รับทราบกันว่า ทั่วโลกเขาตื่นตัวเรื่องนี้อย่างไรกันบ้าง




การประชุมนี้ เปิดงานด้วยสารที่พระสันตะปาปาทรงส่งถึงบรรดาพระสังฆราชคาทอลิกทั่วโลก ใจความว่า “การเยียวยาเหยื่อสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในกลุ่มคริสตชน สิ่งนี้ต้องควบคู่ไปกับการฟื้นฟูขั้นพื้นฐานของพระศาสนจักรคาทอลิกทุกระดับ พ่อขอให้ทุกท่านสานต่อความตั้งใจในการสร้างวัฒนธรรมในพระศาสนจักร วัฒนธรรมที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพในการป้องกันและให้กำลังใจเหยื่อสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ”

จากนั้น วาติกันได้ทำเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ด้วยการเชิญ “แมรี่ คอลลินส์” คริสตังชาวไอริชวัย 60 ปี มากล่าวแบ่งปันต่อหน้าพระสังฆราชทั่วโลก สำหรับประวัติของคุณป้าคนนี้ ตอนอายุ 13 ปีเคยถูกสงฆ์คาทอลิกล่วงละเมิดทางเพศ แต่เก็บเรื่องไว้หลายสิบปีเพราะกลัวและอับอาย พออายุ 47 ปี เข้าไปแจ้งพระคาร์ดินัลว่าตนเคยถูกกระทำแบบนี้ แต่พระคาร์ดินัลไม่เชื่อและปกป้องสงฆ์ที่กระทำผิด เรื่องราวของเธอจึงโด่งดังไปทั่วไอร์แลนด์ วาติกันจึงเชิญเธอมากล่าวแบ่งปันต่อหน้าพระสังฆราชทั่วโลก (จริงๆแล้ว ต้องเรียกว่า เชิญมาระบายความในใจมากกว่า) คุณป้าท่านนี้ขึ้นกล่าวแบบไม่ยั้งว่า “ตอนนี้ ฉันไม่ต้องการคำขอโทษจากพระศาสนจักร เพราะมันไม่มีค่าและไม่เพียงพอ สิ่งที่ฉันต้องการคือพระศาสนจักรต้องยอมรับ ต้องมีสามัญสำนึกและต้องกล้าให้เกิดการตรวจสอบถึงสิ่งที่เกิดขึ้น” ... การเชิญผู้ที่ถูกสงฆ์คาทอลิกล่วงละเมิดทางเพศมากล่าวที่วาติกัน ถือได้ว่า เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พระศาสนจักรที่วาติกันกล้าแสดงสปิริตถึงแบบนี้ กล้าเชิญให้เขามาพูดและระบายความในใจ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย

หลังจากการกล่าวของคุณป้าคอลลินส์ ก็เป็นการบรรยายจาก “มองซินญอร์ สตีเฟ่น โรซาติ” สงฆ์นักจิตวิทยา ผู้บำบัดรักษาสงฆ์ป่วยทางจิตที่ก่อคดีล่วงละเมิดทางเพศในอเมริกามากว่า 10 ปี โดยมองซินญอร์โรซาติ บรรยายให้พระสังฆราชฟังว่า “พวกสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศจะเหมือนกับพวกติดยาและพวกขี้เหล้า กล่าวคือ พวกเขาจะโกหกและจะปฏิเสธไว้ก่อน เมื่อถูกตั้งข้อกล่าวหา พวกเขาจะพูดเสมอว่า มันเป็นข้อกล่าวหาผิดๆ คนพวกนั้นต้องการทำลายชื่อเสียงของผม แต่จากประสบการณ์นับ 10 ปีของพ่อ (มองซินญอร์โรซาติ) ประสบการณ์สอนว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของพวกสงฆ์ที่พูดแบบนี้ ที่สุดแล้ว ดิ้นไม่หลุดจากหลักฐานสักราย”

ในการสัมมนานี้ พระสันตะปาปาและวาติกันมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะแก้ปัญหาสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศให้หมดไปอย่างจริงจัง นอกจากจะจัดงานสัมมนาแล้ว ยังมีพิธีภาวนาขอษมาโทษบาปต่อพระเจ้า จากการที่พระศาสนจักรคาทอลิกปกปิดคดีสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ พิธีนี้ พระคาร์ดินัล มาร์ก อวยเล็ต ประธานสมณกระทรวงเพื่อพระสังฆราช เป็นประธาน โดยพระคาร์ดินัลกล่าวแบ่งปันในพิธีว่า “มันเป็นความอัปยศครั้งใหญ่และความอับอายอันใหญ่หลวงที่เกิดจากโศกนาฏกรรมสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ เรื่องพวกนี้ต้องไม่เกิดขึ้นอีก พระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ทรงปฏิบัติตนให้เห็นเป็นแบบอย่างในการแก้ปัญหาเหล่านี้ ในช่วงบั้นปลายชีวิตของพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2  เราเห็นได้ชัดเจนว่า พระคาร์ดินัล โยเซฟ รัตซิงเกอร์ (พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบัน) ได้ร่วมมือกับ พระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 จัดการลงโทษสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศอย่างรุนแรง พอมาในสมณสมัยของพระองค์ พระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ทรงกล้าออกไปพบและขอโทษเหยื่อสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ พระองค์ทรงไปสวดภาวนาและร้องไห้ไปกับพวกเขา พระองค์แสดงให้เห็นแล้วว่า เหยื่อสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศต้องไม่ถูกมองข้าม เพียงเพราะพระศาสนจักรต้องการปกป้องชื่อเสียงของตน”

หลังการภาวนาจบลง วาติกันได้เชิญ มองซินญอร์ ชาร์ลส์ สคิคลูน่า ผู้พิทักษ์ความยุติธรรม (PROMOTOR OF JUSTICE) แห่งสมณกระทรวงหลักความเชื่อ หน่วยงานสำคัญสุดของวาติกัน มาแบ่งปันด้วย มองซินญอร์คนนี้ทำงานร่วมกับพระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันมานานกว่า 10 ปีในการแก้ปัญหาสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ เมื่อได้รับเชิญให้พูด มองซินญอร์ได้กล่าวถึงทวีปเอเชียแบบตรงๆว่า “พระศาสนจักรในเอเชียเงียบผิดปกติมากเกี่ยวกับปัญหาสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ นอกจากฟิลิปปินส์ สภาพระสังฆราชคาทอลิกประเทศอื่นๆในเอเชีย ช้ามากในการปรับตัวตามสันตะสำนักที่มุ่งกำจัดการล่วงละเมิดทางเพศ ตอนนี้ วาติกันกำลังหารือกับสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งทวีปเอเชีย ในการเปลี่ยนวัฒนธรรมในการกล้าทำลายความเงียบและแจ้งพระสังฆราชถึงเรื่องที่เกิดขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมคดีสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศในเอเชีย ถึงมีคดีน้อยมาก เมื่อเทียบกับยุโรปและอเมริกา”

ไฮไลต์สุดท้ายของการประชุม วาติกันได้เชิญ “พระอัครสังฆราช หลุยส์ อันโตนิโอ ตาเกล” พระอัครสังฆราชแห่งมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ มากล่าวถึงสถานการณ์ในเอเชีย โดยพระอัครสังฆราชตาเกล กล่าวว่า “ความเงียบยังคงปกคลุมคดีสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศในเอเชีย เนื่องจากความเชื่อทางวัฒนธรรมและสังคมที่ต้องการรักษาหน้าตาของตัวเองและวงศ์ตระกูล พ่อไม่ปฏิเสธว่าสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศเป็นปัญหาในเอเชีย แต่จนถึงวันนี้ รายงานสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ มีน้อยกว่ารายงานสงฆ์ถูกจับได้ว่าแอบลักลอบมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงเสียอีก” ... พระอัครสังฆราชตาเกล เป็นหนึ่งในพระสังฆราชที่อายุน้อยมาก ท่านได้รับการอภิเษกเป็นพระสังฆราชตอนอายุ 43 ปี ส่วนปัจจุบันอายุ 55 ปี พระอัครสังฆราชตาเกล ทำงานร่วมกับพระคาร์ดินัลรัตซิงเกอร์ (พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบัน) ในสมณกระทรวงหลักความเชื่อและการป้องกันสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศมานานกว่า 10 ปี พระสันตะปาปาทรงรักและชื่นชมในพรสวรรค์ของพระอัครสังฆราชองค์นี้มากๆ ส่วนสื่อมวลชนคาทอลิกทั่วโลก ก็ยกย่องไม่แพ้กัน โดยยกย่องถึงขนาดขนานนามว่า “โคลนนิ่งของรัตซิงเกอร์ในทวีปเอเชีย” เลยทีเดียว

.... ทั้งหมดก็เป็นรายละเอียดแบบเจาะลึกถึงการสัมมนาที่วาติกันจัดขึ้น จะเห็นได้ว่า ปี 2012 พระสันตะปาปาและวาติกัน ได้วางนโยบายระดับโลกไว้ที่การแก้ปัญหาสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ ดังนั้น ก็หวังว่า การชำระพระศาสนจักรให้บริสุทธิ์จะประสบผลสำเร็จด้วยดี ... ต่อไป ก็มาถึงข่าวใหญ่ที่คริสตังไทยยังไม่รู้ นั่นคือ “สมณทูตย้ายแล้ว” นะครับ

เมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผมนั่งเช็คอีเมลข่าวที่วาติกันจะต้องส่งให้ทุกวัน ตอนแรกอ่านไปเรื่อยก็ไม่พบอะไร แต่พออ่านประโยคสุดท้าย วาติกันประกาศอย่างเป็นทางการว่า “พระสันตะปาปาทรงแต่งตั้ง พระอัครสังฆราช โจวานนี่ ดานิเอลโล่ สมณทูตวาติกันประจำประเทศไทย, ลาว, พม่า และกัมพูชา ให้ไปรับหน้าที่ใหม่ด้วยการเป็นสมณทูตประจำประเทศบราซิล” ประกาศแบบนี้ เท่ากับปิดฉากการทำหน้าที่สมณทูตประจำประเทศไทย ไว้ที่ 1 ปี 5 เดือน (22 ก.ย. 2010 - 10 ก.พ. 2012)

อ่านข่าวนี้ ผมถึงกับอึ้ง ไม่คิดว่าสมณทูตองค์นี้จะมาเร็วไปเร็วขนาดนี้ ผมไม่รู้ว่าสาเหตุการโยกย้ายครั้งนี้คืออะไร แต่จากการวิเคราะห์ของผมเอง ผมมั่นใจว่า “นี่คือการย้ายเพื่อไปรับงานที่ใหญ่กว่าและสำคัญกว่ามากๆ” อย่าลืมว่า ปีหน้า (2013) บราซิลจะเป็นเจ้าภาพงานเยาวชนโลก ซึ่งจะมีเยาวชนคาทอลิกนับล้านไปเยือน และพระสันตะปาปาก็จะไปร่วมงานด้วย (หมายความว่า พระสันตะปาปาจะไปพักที่บ้านทูตวาติกันประจำบราซิล ซึ่งพระอัครสังฆราชดานิเอลโล่ จะมีหน้าที่ต้อนรับนั่นเอง) 

นอกจากนี้ หากใครติดตามสถานการณ์คาทอลิกในบราซิล จะพบว่า บราซิลเป็นประเทศที่มีคริสตังมากสุดในโลกก็จริง แต่คริสตังในบราซิลลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง ลดจำนวนไม่ว่า แต่ดันมีความแตกแยกทางความเชื่อเทวศาสตร์อีก สงฆ์คาทอลิกบราซิลบางคนพยายามปลูกฝังเทวศาสตร์แห่งการปลดปล่อย (LIBERATION THEOLOGY) เทวศาสตร์ที่สอนว่า พระเยซูเป็นผู้ปลดปล่อยอิสระภาพให้รอดพ้นจากการกดขี่ทางสังคมและการเมือง นี่เป็นเทวศาสตร์ที่สวนทางกับความเชื่อคาทอลิกจำนวนมาก ซึ่งได้รับการสอนว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอดพ้นจากบาป (ไม่ใช่รอดพ้นจากการถูกกดขี่ทางสังคม)

พูดถึง พระอัครสังฆราช โจวานนี่ ดานิเอลโล่ หลายคนมักจะถามผมว่า “คิดว่า สมณทูตองค์นี้เป็นอย่างไร” เพราะจากภาพที่ปรากฏ สมณทูตองค์นี้จะไม่ออกสื่อมากนัก แต่เลือกจะเก็บตัวเงียบๆ

จากประสบการณ์ล้ำค่าหนึ่งครั้งที่ได้รับ ผมเคยได้รับเชิญให้เข้าไปทานอาหารเย็นกับสมณทูตองค์นี้ที่สถานทูตวาติกัน (ถนนสาทร) ผมประทับใจสมณทูตดานิเอลโล่มากๆ หลังจากทานอาหารเสร็จ สมณทูตดานิเอลโล่เดินเข้ามาพูดกับผมว่า “ถ้ามีอะไร เดินมากดกริ่งหาเราได้เลยนะ เพราะบ้านนี้ (สถานทูตวาติกันประจำประเทศไทย) ไม่ใช่บ้านของเรา แต่เป็นบ้านของพระสันตะปาปาที่ต้องการเปิดต้อนรับสัตบุรุษทุกคน” นอกจากนี้ ยังมีหยอกแบบทีเล่นทีจริงว่า “เมื่อไหร่จะแต่งงาน ถ้าแต่ง ต้องเรียกเราไปร่วมงานนะ”

เขียนถึงตรงนี้ ผมไม่รู้ว่า คนอื่นจะคิดอย่างไรกับสมณทูตองค์นี้ผู้รักการอยู่แบบเงียบๆและเรียบง่าย แต่สำหรับผมแล้ว ผมเอาใจช่วย พระอัครสังฆราช โจวานนี่ ดานิเอลโล่ กับหน้าที่ใหม่ในบราซิลอย่างเต็มที่ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า อนาคต เราจะได้พบกันอีกครั้ง


AVE   MARIA

Comments