ฟาติมาสาร - ศาสนาคริสต์ถูกเบียดเบียนหนักขึ้นเรื่อยๆ (22 มกราคม 2012)

สัปดาห์ที่แล้ว ระหว่างยืนรอกาแฟในร้านสตาร์บัคส์ ผมหยิบ THE ECONOMIST นิตยสารระดับโลกสัญชาติอังกฤษมาอ่านรอไปพลางๆ ตอนแรกจะอ่านเรื่อง “ยูโรโซน” แต่ปรากฏมีคอลัมน์น่าสนใจกว่าเรื่องเศรษฐกิจยุโรป บทความที่ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเบียดเบียนคริสตชนในศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีทีท่าว่าจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ



THE ECONOMIST เริ่มต้นบทความด้วยการกล่าวว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีคนนับถือมากสุดในโลก แต่ในทางกลับกัน ศาสนาคริสต์ก็เป็นศาสนาที่ผู้นับถือถูกเบียดเบียนจนถึงแก่ความตายมากสุดเช่นกัน ปัจจุบัน มีการคาดกันว่ามีคริสตศาสนิกชน (ทุกนิกาย) อยู่ในโลกประมาณ 2.2 พันล้านคน จำนวนนี้ คิดเป็น 31.4 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก (เพิ่งทะลุ 7 พันล้านคนไปเมื่อปลายปี 2011)

ตอนนี้ ทวีปที่มีอัตราการเพิ่มประชากร “ชาวคริสต์” มากสุดในโลกได้แก่ทวีปแอฟริกา โดยศตวรรษที่ 20 มีชาวคริสต์ในแอฟริกา 9 เปอร์เซ็นต์ แต่ในศตวรรษที่ 21 มีชาวคริสต์ในแอฟริกา 63 เปอร์เซ็นต์ ส่วนทวีปยุโรป ดินแดนมรดกวัฒนธรรมล้ำค่าทางคริสตศาสนา ประชากรคริสต์ลดลงจาก 95 เปอร์เซ็นต์ในศตวรรษที่ 20 เหลือ 76 เปอร์เซ็นต์ในศตวรรษที่ 21 ส่วนทวีปอเมริกา ก็ประสบปัญหาเช่นกัน ชาวคริสต์ลดลงจาก 96 เปอร์เซ็นต์ในศตวรรษที่ 20 มาเป็น 86 เปอร์เซ็นต์ในศตวรรษที่ 21

พูดถึงตัวเลขไปแล้ว ก็ได้เวลาลงสำรวจพื้นที่กันบ้าง THE ECONOMIST ระบุว่า ทวีปที่มีการเข่นฆ่าชาวคริสต์มากสุดในโลก ได้แก่ “แอฟริกา” นี่คือประเทศที่เข้าสูตรว่า “ยิ่งโต ยิ่งตาย ... ยิ่งตาย ยิ่งโต” เราได้เห็นกันแล้วว่า คริสตศาสนิกชนในแอฟริกามีอัตราการเติบโตที่สูงมาก เมื่อโตมาก ก็ต้องถูกฆ่าตายมาก ประเทศในแอฟริกาที่มีการฆ่าคริสตชนมากสุดก็คือ “ไนจีเรีย” นับเฉพาะเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีการวางระเบิดโบสถ์คริสต์ในไนจีเรียถึง 9 ครั้ง และในการวางระเบิดแต่ละครั้ง คนร้ายจะเลือกเวลาก่อเหตุเฉพาะตอนที่คริสตชนมาร่วมมิสซาและนมัสการพระเจ้าเท่านั้น (เรียกว่า ต้องเอาให้ตายแบบหมู่คณะ) ประเทศในแอฟริกาอันดับต่อมาที่มีการเข่นฆ่าคริสตชนมากสุดก็คือ “อียิปต์” คริสตชนที่นั่นส่วนมากนับถือนิกาย “ค็อปติก” ลักษณะการฆ่าคริสตชนในอียิปต์ก็เป็นลักษณะเดียวกับไนจีเรีย นั่นคือ “ฆ่าเฉพาะเวลามาร่วมภาวนาสรรเสริญพระเจ้าในโบสถ์เท่านั้น” นอกจากนี้ มีการเปิดเผยสาเหตุหลักๆของการสังหารคริสตชนในแอฟริกา นั่นคือ “ฆ่าเพราะคนพวกนี้เปลี่ยนศาสนา” ดังนั้น ยิ่งเปลี่ยนศาสนา ก็ต้องยิ่งถูกตามฆ่า แต่เมื่อยิ่งตายกันมากๆ ความเชื่อความศรัทธาในพระเจ้าก็จะยิ่งเกิดขึ้นเรื่อยๆเฉกเช่นบรรดามรณสักขี เปรียบได้กับคำพูดที่ว่า “ตายหนึ่ง เกิดร้อย” ก็ว่าได้

ทวีปอันดับสองที่มีการเข่นฆ่าคริสตชนมากสุด ได้แก่ “เอเชีย” ประเทศที่คริสตชนถูกฆ่ามากสุดได้แก่ “ปากีสถาน” รองลงมาคือ “อิรัก” และอันดับสามคือ “อินเดีย”

ปากีสถานเพิ่งออกกฏหมายห้ามดูหมิ่นศาสนาอิสลาม (BLASPHEMY LAW) กฏหมายฉบับนี้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วโลก เพราะแค่คุณเปลี่ยนศาสนาจากอิสลามไปเป็นศาสนาอื่นๆ คุณจะถูกตัดสินประหารชีวิตทันที ผู้ที่ถูกฆ่าตายเพราะกฏหมายนี้ ได้แก่ “ชาห์บัตซ์ บาฮาติ” รัฐมนตรีและนักการเมืองคาทอลิกในคณะรัฐบาลปากีสถาน บาฮาติพยายามคัดค้านการผ่านร่างกฏหมายดังกล่าว ด้วยเหตุผลว่ามันไม่ยุติธรรมกับประชาชน แต่เสียงคัดค้านของเขาไม่เกิดผล ที่สุดแล้ว เขาถูกกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงลอบยิงเสียชีวิต เพียงเพราะมีความคิดอยากคัดค้านกฏหมายดังกล่าว

ส่วนอิรัก อันนี้ ไม่ต้องพูดถึง เพราะกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่นั่นมองว่า ถ้าคุณเป็นคริสต์ คุณก็เป็นพวกเดียวกับอเมริกาและโลกตะวันตกแล้ว (เหมือนกับยุคที่ บุญราศีนิโคลาส บุญเกิด ถูกเบียดเบียนชัดๆ) มีการเปิดเผยตัวเลขว่า จริงๆแล้ว คริสตังในอิรักก่อนยุคอเมริกาบุกฆ่า ซัดดัม ฮุสเซ็น มีมากถึง 1 ล้านคน แต่พออเมริกาเข้ามาทำสงคราม คริสตังอิรักต้องอพยพออกจากประเทศไปถึง 950,000 คน เรียกได้ว่า หนีออกกันเกือบหมด เพราะอยู่ไปก็ถูกตามฆ่าแน่ๆ

ในส่วนของอินเดีย รัฐที่มีการเบียดเบียนและเข่นฆ่าชาวคริสต์มากสุดคือ “โอริสสา” หากยังจำกันได้เมื่อปี 2008 มีกลุ่มคนร้ายบุกไปฆ่าซิสเตอร์ และเผาโรงเรียนคาทอลิกในรัฐดังกล่าว เหตุผลของการเข่นฆ่าในอินเดีย ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งทางความเชื่อ แต่เกิดจากความเหลื่อมล้ำทางสังคม ชาวคริสต์ในรัฐโอริสสาจะเป็นพวกคนชั้นกลางและชั้นสูง ส่วนชาวฮินดูจะเป็นชนชั้นแรงงาน ดังนั้น พอเศรษฐกิจแย่หนักๆ คนชั้นแรงงานรับไม่ได้กับความเหลื่อมล้ำ พวกเขาจึงมองว่าความแตกต่างทางศาสนานี่แหละเป็นตัวกำหนดสถานะทางสังคม (ทั้งที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น) พวกเขาจึงเดินหน้าฆ่าชาวคริสต์แบบไม่ไว้หน้า

การเบียดเบียนศาสนาไม่ได้มีแบบ “ฆ่าให้ตาย” เท่านั้น เพราะในยุโรปและอเมริกา มีการเบียดเบียนศาสนารูปแบบใหม่ตามสไตล์ชาติที่พัฒนาแล้ว การเบียดเบียนศาสนาของประเทศเหล่านี้ มาในรูปแบบ “กำจัดศาสนาให้เป็นส่วนเกินของสังคม” วิธีการที่ว่าคือพยายามออกกฏหมายห้ามไม่ให้คนปฏิบัติศาสนากิจในที่สาธารณะ (อาทิ ห้ามแขวนไม้กางเขนไว้ตามโรงเรียนและโรงพยาบาล) วิธีการแบบนี้ อาจไม่ถึงขั้นมีคนล้มตาย แต่มันทำลายขนบธรรมเนียมของชาวยุโรปที่มีรากเหง้ามาจากศาสนาคริสต์ให้ตายแบบผ่อนส่งก็ว่าได้

ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นสิ่งที่ THE ECONOMIST ชี้ให้เห็นว่า ศาสนาคริสต์กำลังเผชิญกับภาวะถูกเบียดเบียนอย่างรุนแรงทั่วโลกในศตวรรษที่ 21 การเบียดเบียนศาสนาแบบเข่นฆ่า ไม่น่ากลัวเท่าการเบียดเบียนศาสนาแบบทำให้เป็นส่วนเกินของสังคม เพราะการเข่นฆ่า ยังสามารถจุดไฟความเชื่อความศรัทธาของคนรุ่นหลังได้ แต่การทำให้เป็นส่วนเกินของสังคม เป็นการขุดหลุมฝังแบบไม่ให้มีโอกาสกลับคืนชีพอีกเลย เพราะคนรุ่นหลังก็จะไม่ได้รับการปลูกฝังค่านิยมจากคนรุ่นก่อน (ต่างจากการเบียดเบียนแบบเข่นฆ่าที่ยังสอนประวัติศาสตร์ความดีกันได้) เมื่อผมประมวลเนื้อหาทั้งหมดเข้าด้วยกัน มันทำให้ผมเข้าใจแนวคิดของสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 มากยิ่งขึ้นที่พระองค์จำเป็นต้องตั้ง “สมณสภาประกาศพระวรสารใหม่” เพื่อฟื้นฟูศาสนาคริสต์ในยุโรปและอเมริกาให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งนั่นเอง

AVE   MARIA

Comments