ฟาติมาสาร - บทสรุปพระสันตะปาปาเยือนเยอรมนี (2 ต.ค. 2011)

จบลงไปแล้วกับการเสด็จเยือนเยอรมนีของสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 การปฏิบัติพันธกิจครั้งนี้ พระสันตะปาปาใช้เวลา 4 วัน เริ่มตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน ถึง วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน ดังนั้น เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราไปดูบทสรุปของการเดินทางเยือนประเทศบ้านเกิดของพระองค์กันเลย



 

22 ก.ย. – วันแรกในเบอร์ลิน เมืองหลวงของผู้ไม่เชื่อพระเจ้า

ผมเคยบอกไปแล้วว่า “เบอร์ลิน” เมืองหลวงของเยอรมนี (ชื่อที่ถูกต้องตามภาษาเยอรมันอ่านว่า “แบร์ลิน”) ติด 1 ใน 3 เมืองใหญ่ของยุโรปที่พลเมืองประกาศว่าตนเองไม่มีศาสนา นอกจากไม่นับถือศาสนาแล้ว หลายคนยังออกอาการ “ขยะแขยง” เมื่อได้ยินการพูดเรื่องศาสนาอีกด้วย (เรื่องนี้ ผมเจอมากับตัว ตอนเรียนที่สวีเดน เพื่อนผมเป็นชาวเบอร์ลินส่ายหัวไม่คุยทันทีที่ผมคุยเรื่องศาสนา)   ...

บนเครื่องบินมุ่งหน้าสู่เบอร์ลิน พระสันตะปาปาทรงอนุญาตให้นักข่าวสัมภาษณ์พระองค์ได้ หนึ่งในคำถามน่าสนใจมีว่า “พระสันตะปาปารู้สึกอย่างไรที่คริสตังเยอรมันลาออกจากพระศาสนจักร เพราะรับไม่ได้กับปัญหาสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ” พระสันตะปาปาตรัสตอบว่า “ทุกวันนี้ คริสตังลาออกจากการเป็นสมาชิกพระศาสนจักร ด้วย 2 สาเหตุหลัก หนึ่งคือปัญหาสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ เฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาจะหันหลังให้พระศาสนจักร ถ้าเหยื่อผู้บริสุทธิ์เป็นคนใกล้ชิดของพวกเขา สองคือคนละทิ้งพระศาสนจักรเพราะกระแสสังคมที่ไม่ให้ความสำคัญกับพระเจ้า ซึ่งล่อลวงเราให้ดำเนินชีวิตห่างไกลจากความเป็นคาทอลิกเข้าไปทุกขณะ เรื่องสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศนั้น พระศาสนจักรก็เหมือนกับอวนหรือแหจับปลาของพระเจ้า บ่อยครั้ง ปลาเลวอาจติดเข้ามาบ้าง ดังนั้น ผู้นำพระศาสนจักร ต้องเรียนรู้ที่จะอธิบายให้สัตบุรุษเข้าใจและหาทางกำจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป”

เมื่อมาถึงเบอร์ลินแล้ว พระสันตะปาปาได้เสด็จไปตรัสสุนทรพจน์ในรัฐสภาของเยอรมนี ทั่วโลกให้ความสนใจกับสุนทรพจน์นี้มาก เพราะฝ่ายค้าน (พวกซ้ายจัด) ประกาศบอยคอตและไม่ร่วมรับฟังพระดำรัสของพระสันตะปาปา เนื่องจากไม่พอใจที่พระองค์พยายามจะ “ยัดเยียด” เรื่องพระเจ้าให้กับสังคม

พระสันตะปาปาให้ความสำคัญกับสุนทรพจน์นี้มาก พระองค์ลงมือเขียนสุนทรพจน์นี้ด้วยตัวเอง โดยพระสันตะปาปาตรัสกับรัฐสภาเยอรมนีว่า “ข้าพเจ้าวิงวอนให้ผู้นำทางการเมืองทุกคนแสวงหาความยุติธรรมให้ประเทศ ไม่ใช่แสวงหาชื่อเสียงเงินทองเพื่อตัวเอง ถ้าประเทศใด ผู้นำไร้ศีลธรรมและความยุติธรรม ประเทศนั้นก็จะเป็นอะไรไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่โจรดีๆนี่เอง” ... เรียกได้ว่า ถึงแม้ไม่อยากฟังเรื่องพระเจ้า แต่พระสันตะปาปาก็นำศีลธรรมมาสอนพวกซ้ายจัดให้คิดถึงส่วนรวมมากกว่าเรื่องส่วนตน

ช่วงเย็นของวันนี้ พระสันตะปาปาเสด็จไปถวายมิสซาที่สนามฟุตบอลโอลิมปิก สตาดิโอน สนามที่ใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก นัดชิงชนะเลิศ 2006 (อิตาลี พบ ฝรั่งเศส) พิธีนี้ มีสัตบุรุษมาร่วมกว่า 80,000 คน ในส่วนบทเทศน์ พระสันตะปาปาขอกล่าวถึงปัญหาสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศอีกครั้ง ใจความว่า “จงอย่าละทิ้งและหันหลังให้พระศาสนจักร เพียงเพราะประสบการณ์เลวร้ายจากเรื่องสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ ในพระศาสนจักรนั้น เรามีทั้งปลาดีและปลาเลว อย่างไรก็ตาม ถ้าเราไม่ทิ้งพระศาสนจักร ก็หมายความว่า เราก็ไม่ละทิ้งพระคริสตเจ้าเช่นกัน”


23 ก.ย. – พระสันตะปาปาขอโทษเหยื่อสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ

เช้าวันนี้ พระสันตะปาปาทรงเริ่มต้นพันธกิจด้วยการเชิญผู้บริสุทธิ์ที่ถูกสงฆ์คาทอลิกล่วงละเมิดทางเพศมาพบและ “กล่าวคำขอโทษพวกเขาแบบทีละคน” โดยผู้ได้รับเชิญมีจำนวน 5 คน (หญิง 2, ชาย 3) โอกาสนี้ ทั้ง 5 คนแสดงความผิดหวังทุกข์ทรมานที่เกิดจากสงฆ์คาทอลิกแตกแถวเหล่านั้น ส่วนพระสันตะปาปาทรงขอโทษพวกเขาจากใจ และหวังว่าบาดแผลในใจของพวกเขาจะได้รับการเยียวยาโดยเร็ว

จากนั้น พระสันตะปาปาประทับเครื่องบินออกจากเบอร์ลินไปยังเมืองแอร์เฟือร์ต เพื่อร่วมงานคริสตศาสนสัมพันธ์แล้ว โดยงานนี้ จะจัดที่อารามออกุสติน สถานที่ซึ่ง “มาร์ติน ลูเธอร์” ผู้นำการแยกตัวออกจากพระศาสนจักรคาทอลิก ได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

โอกาสนี้ พระสันตะปาปาทรงกล่าวกับสหพันธ์ลูเธอรันแห่งเยอรมนีว่า “ทุกวันนี้ น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งว่า พระเจ้ากำลังถูกกำจัดออกจากสังคมแบบหนักขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น สิ่งสำคัญของคริสตศาสนสัมพันธ์คือการร่วมกันปกป้องสิ่งดีๆที่เรายึดถือร่วมกัน (ความเชื่อในพระเจ้า) ไม่ให้สูญหายไปตามกระแสสังคม หน้าที่คริสตชนคือการปกป้องชีวิตมนุษย์ให้มีสิทธิเกิดและตายตามธรรมชาติ ไม่ใช่ตายเพราะทำแท้งและการุญฆาต”

ช่วงเย็น พระสันตะปาปาเสด็จไปนำสัตบุรุษประมาณ 100,000 คน สวดสายประคำ ณ เมืองเอสเซลบัค โดยพระองค์เทศน์สอนสัตบุรุษหลังสวดสายประคำว่า “ในอดีต เยอรมันตะวันออก รวมทั้งเมืองแอร์เฟือร์ตและเอสเซลบัค ตกอยู่ภายใต้การปกครองของนาซีและคอมมิวนิสต์ ระบอบการปกครองนี้ไม่ต่างจากฝนกรดที่ทำลายคริสตชนให้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก กระนั้น ในความยากลำบาก มันทำให้คริสตังจำนวนมากทวีความเชื่อความศรัทธาในพระเจ้ามากขึ้น บางครั้ง ความศรัทธานี้ ยังแข็งแกร่งกว่าการปกครองยุคปัจจุบันซึ่งให้เสรีภาพกับพลเมืองเสียอีก”


24 ก.ย. – วันแห่งการพบปะคริสตัง

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พระสันตะปาปามีโปรแกรมแน่นเอี๊ยดในการพบกับคริสตชน งานแรกของวันนี้คือการเป็นประธานในมิสซาที่เมืองแอร์เฟือร์ต ท่ามกล่าวสัตบุรุษที่มาร่วมกว่า 50,000 คน ข้อคิดสำคัญของบทเทศน์มิสซานี้ มีว่า “ถ้าเราพิจารณาให้ดีๆ จะพบว่า นักบุญมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับประชากรโลก แต่คนน้อยๆเช่นนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นได้”

จากนั้นเป็นโปรแกรมพิเศษ เมื่อพระสันตะปาปาทรงพบกับ “เฮลมุต โคห์ล” รัฐบุรุษของเยอรมนี การพบกันครั้งนี้ เป็นพระสันตะปาปาเองที่เป็นฝ่ายขอพบกับท่านรัฐบุรุษ สาเหตุที่พระสันตะปาปาอยากพบกับชายคนนี้มากๆ ก็เพราะ โคห์ล เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่ช่วยรวมเยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออกได้กลายเป็นหนึ่งเดียว พระสันตะปาปาจึงอยากขอบคุณเขาสำหรับความยิ่งใหญ่ที่มอบให้กับเยอรมนี ... ปัจจุบัน เฮลมุต โคห์ล อายุ 81 ปี กำลังป่วยและไม่สามารถพูดได้ถนัดนัก กระนั้น เขาก็ปลาบปลื้มที่พระสันตะปาปาทรงต้องการพบเขาเป็นการส่วนพระองค์

ช่วงเย็น พระสันตะปาปาเสด็จไปนำเยาวชน 50,000 คนสวดทำวัตรเย็นที่เมืองไฟร์บวร์ก โอกาสนี้ พระองค์เทศน์สอนเขาว่า “พระเยซูตรัสเสมอว่า เราคือแสงสว่างส่องโลก พวกเธอก็เช่นกัน พวกเธอก็เป็นแสงสว่างนำความหวังให้โลกอันมืดมน พระเยซูไม่ได้ตรัสเรียกเธอเพราะเธอเป็นคนรวย แต่ตรัสเรียกเธอเพราะทรงต้องการให้เธอนำความดีไปแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ พระเจ้าเป็นองค์ความดี และพระองค์ก็ต้องการให้เธอเป็นแสงสว่างนำความดีไปมอบให้โลก”


25 ก.ย. – ถึงเวลาฟื้นฟูและปฏิรูปพระศาสนจักร

พระสันตะปาปาเริ่มวันใหม่ ด้วยการถวายมิสซาท่ามกลางสัตบุรุษที่มาร่วมกว่า 100,000 คน โดยพระองค์เทศน์สอนว่า “การฟื้นฟูพระศาสนจักรให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง สามารถทำได้วิธีเดียวคือเราต้องกลับใจและฟื้นฟูความเชื่อของเราที่มีต่อพระเจ้า นอกจากนี้ เราต้องแพร่ธรรมด้วยการให้ความรักของพระเยซูนำทาง มากกว่าแพร่ธรรมด้วยปากบอกว่ารักเพื่อนมนุษย์ แต่ข้างในใจนั้น หวังผลประโยชน์จากเพื่อนพี่น้อง”

ช่วงบ่าย พระสันตะปาปาเสด็จไปพบกับกลุ่มฆราวาสที่อุทิศตนทำงานให้พระศาสนจักรอย่างจริงจัง โอกาสนี้ พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “พ่อยอมรับว่า ปัจจุบัน คนเยอรมันนับถือศาสนาลดลงมากๆ ประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยมั่งคั่งกับวัฒนธรรมคาทอลิก ตอนนี้ กลับเหลือแต่ความว่างเปล่า คำถามก็คือ พระศาสนจักรควรจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ คำตอบของพ่อคือ ใช่ เราต้องเปลี่ยนแปลง เราคือเราทุกคน เราต้องเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น เราต้องเพิ่มความร้อนรนในการแพร่ธรรมให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เอ้อระเหยไปวันๆ และไม่ลงมือทำอะไรเลย”

สุดท้าย ในพิธีอำลาและส่งเสด็จพระสันตะปาปากลับกรุงโรม พระสันตะปาปาทรงกล่าวสุนทรพจน์อำลาว่า “ข้าพเจ้าอยากให้ชาวเยอรมันทุกคนมอบความวางใจบนหนทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าซึ่งจะนำเรากลับไปสู้รากเหง้าของชาวเรา นั่นคือ ข่าวดีของพระคริสตเจ้า ข้าพเจ้าขอย้ำว่า ที่ใดมีพระเจ้า ที่นั่นมีอนาคต ที่ใดมีพระเจ้า ที่นั่นมีความหวัง ข้าพเจ้าจะภาวนาเพื่อเยอรมนีบ้านเกิดของข้าพเจ้า และขอพระเจ้าอวยพรเยอรมนีตลอดไป”

... ทั้งหมดเป็นการสรุปพันธกิจพระสันตะปาปาเสด็จเยือนเยอรมนี การเยือนต่างประเทศครั้งต่อไปของพระสันตะปาปา จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 18-20 พฤศจิกายน 2011 โดยพระองค์จะเสด็จเยือน “เบนิน” ประเทศในทวีปแอฟริกา รายละเอียดจะเป็นเช่นไร โปรดรอติดตามครับ


AVE   MARIA






Comments