ฟาติมาสาร - บทสรุปอันงดงามของงานเยาวชนโลก 2011 (28 ส.ค. 2011)

จบลงไปอย่างงดงามสำหรับงานเยาวชนโลก 2011 หากใครติดตามข่าวต่างประเทศ น่าจะผ่านตาบ้างกับงานชุมนุมที่ยิ่งใหญ่สุดในพระศาสนจักรคาทอลิก สัปดาห์ที่แล้ว ผมบรรยายคร่าวๆก่อนงานจะเริ่มขึ้น สัปดาห์นี้ ผมขอมารีวิวแบบละเอียดถึงบรรยากาศของงานว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้น เพื่อไม่ให้เสียเวลา ไปติดตามกันเลย   ....


วันอังคารที่ 16 ส.ค. 2011 – พิธีเปิดงานเยาวชนโลก




พระคาร์ดินัล อันโตนิโอ รัวโก้ ประมุขอัครสังฆมณฑลมาดริด เป็นประธานมิสซาเปิดงานเยาวชนโลก 2011 ณ จัตุรัสซิเบเลส กรุงมาดริด ท่ามกลางเยาวชนที่มาร่วมกว่า 500,000 คน ในมิสซานี้ พระคาร์ดินัลกล่าวกับเยาวชนว่า “เยาวชนยุคนี้คือเจเนเรชั่น เบเนดิกต์ ที่ 16 ไม่ใช่ เจเนเรชั่น จอห์น ปอล ที่ 2 ปัญหาเยาวชนยุคนี้ต่างกับยุคนั้นมากๆ ยุคนั้น พระสันตะปาปาจัดงานเยาวชนโลก โดยมุ่งหวังให้เยาวชนห่างไกลลัทธิคอมมิวนิสต์และสงคราม แต่ยุคนี้ จุดมุ่งหมายงานเยาวชนโลกคือต้องการให้เยาวชนห่างไกลจากวัตถุนิยม ยาเสพติด และความเห็นแก่ตัว กระนั้น สิ่งหนึ่งที่ไม่ว่างานเยาวชนโลกจะถูกจัดในยุคสมัยของใคร มันจะเหมือนเดิมตลอดเลยก็คือพวกเธอต้องอย่ากลัวที่จะดำเนินชีวิตดุจนักบุญ จงเปิดใจให้พระคริสตเจ้าและตอบรับ (YES) กับพระองค์ พระเยซูเท่านั้นที่จะมอบความสุขแท้จริงให้ชีวิตพวกเธอ”


วันพุธที่ 17 ส.ค. 2011 – ผู้ประท้วงแค่หยิบมือ


พระสงฆ์และเยาวชน เข้าไปคุกเข่าสวดกลางวงประท้วง เพื่อให้่พวกเขากลับใจ

กิจกรรมของวันนี้คือการเรียนคำสอนในงานเยาวชนโลก นอกจากนี้ มีรายงานเข้ามาว่า ในกรุงมาดริด มีเยาวชนเดินทางเข้ามาเพิ่มเป็น 800,000 คน (เพิ่มจากเมื่อวาน 200,000 คน) คาดว่า วันพรุ่งนี้ที่พระสันตะปาปาจะเสด็จมาถึงกรุงมาดริด เยาวชนน่าจะทะลุหลัก 1 ล้านคนอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ข่าวงานเยาวชนโลกที่ถูกรายงานไปตามสื่อสำนักต่างๆนั้น ค่อนข้าง “ผิดเพี้ยน” เพราะในความเป็นจริง กลุ่มผู้ประท้วงมีไม่เกิน 2,000 คน สาเหตุหลักที่พวกเขาประท้วงคือ “รัฐบาลสเปน” คนกลุ่มนี้เข้าใจว่า รัฐบาลเอาเงินภาษีประชาชนไปจัดงานเยาวชนโลก แต่ในความเป็นจริง งานเยาวชนโลกไม่ได้จัดขึ้นโดยเงินภาษีของชาวสเปน แต่เกิดจากการจ่ายค่าสมัครร่วมงานของเยาวชน (80 เปอร์เซ็นต์) ส่วนที่เหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ มาจากวาติกันและสปอนเซอร์ต่างๆที่อัครสังฆมณฑลมาดริดไปหามาได้ ... กระนั้น สื่อในเมืองไทยกลับรายงานว่า ผู้ประท้วงต่อต้านการเสด็จเยือนของพระสันตะปาปา (ซึ่งในความเป็นจริง ไม่ใช่แบบนั้นเลย)  


วันพฤหัสบดีที่ 18 ส.ค. 2011 – พระสันตะปาปาเสด็จถึงกรุงมาดริด


พระสันตะปาปาผู้รักการยกมือไหว้

วันที่เยาวชนทุกคนต่างรอคอยก็มาถึง วันที่สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ได้เสด็จมาถึงกรุงมาดริด เพื่อร่วมงานเยาวชนโลกอย่างเป็นทางการ

ในพิธีต้อนรับที่สนามบินบาราฆาส พระสันตะปาปาได้ตรัสสุนทรพจน์ต่อพระพักตร์ “กษัตริย์ฆวน คาร์ลอส และ พระราชินีโซเฟีย” รวมถึง “โฆเซ่ ซาปาเตโร่ นายกรัฐมนตรีสเปน เจ้าของฉายา “นักฆ่าหน้าเลือด” (เพราะพยายามสุดๆกับการผลักดันกฏหมายทำแท้งเสรี) ใจความว่า “ข้าพเจ้ามาที่นี่ในฐานะผู้สานงานต่อจากนักบุญเปโตร ข้าพเจ้ามาเพื่อร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับเยาวชนในการประกาศความเชื่อและความตั้งใจที่จะสร้างพระอาณาจักรของพระเจ้าให้เกิดบนโลกมนุษย์ ข้าพเจ้าต้องการส่งมอบจิตตารมณ์นี้ให้กับเยาวชน ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าใจที่ต้องเห็นเยาวชนมากมายถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความแตกต่างทางศาสนา กระนั้นก็ตาม ข้าพเจ้าอยากให้กำลังใจเยาวชนทุกคน ต่อให้เราจะถูกกดขี่ข่มเหงเพราะพระนามของพระเจ้า เราต้องอย่าปล่อยให้สันติภาพในจิตใจเราถูกทำลายไป ที่สำคัญ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราต้องเตือนตัวเองเสมอว่า อย่าทำให้พระเจ้าเสียใจเพราะการกระทำของเรา” 

ในสมณสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 คำพูดอมตะของพระองค์คือ “จงอย่ากลัว” ซึ่งหมายถึงอย่ากลัวที่จะเป็นผู้นำสันติและความหวังไปมอบให้กับโลกที่อยู่ในภาวะสงครามเย็นและคอมมิวนิสต์ ส่วนในยุคของสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 คำพูดของพระองค์คือ “จงอย่าทำให้พระเจ้าเสียใจ” เพราะสังคมยุคนี้มีสิ่งล่อลวงมากมายให้มนุษย์ถอยห่างจากพระเจ้า พระสันตะปาปาจึงต้องการเน้นว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ช่าง ขอให้ตระหนักเสมอว่า สิ่งที่เราทำไปนั้น ต้องไม่ทำให้พระเสียใจ

ส่วนช่วงเย็นของวันนี้ มีพิธีต้อนรับพระสันตะปาปาอย่างเป็นทางการ ณ จัตุรัสซิเบเลส พิธีนี้ มีเยาวชนมาต้อนรับ “ฮีโร่” ของพวกเขากว่า 1 ล้านคน (เพิ่มจากเมื่อวานถึงหนึ่งเท่า) พระสันตะปาปาตรัสกับเยาวชนว่า “พ่อคิดว่า พระเจ้าทรงเมตตาพ่อมากๆที่ให้พ่อได้มีโอกาสมาพบพวกเธอและฟังเสียงของพวกเธอในวันนี้” (3 ปีที่แล้วในงานเยาวชนโลกที่ออสเตรเลีย พระสันตะปาปาตรัสแบบติดตลกว่า ถ้าพระเจ้ายังเมตตาพ่อ เราคงได้พบกันในงานเยาวชนโลกที่กรุงมาดริด) พร้อมกันนี้ พระสันตะปาปาได้เตือนสติเยาวชนที่หยิ่งทรนงในตัวเองว่า “หากใครคิดว่าตัวเองเจ๋ง ตัวเองแน่ ตัวเองยิ่งใหญ่ดุจพระเจ้า คนๆนั้นมีความเสี่ยงสูงมากที่จะล้มเหลวในการดำเนินชีวิต เพราะการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง เราต้องสร้างและฝากชีวิตให้ตั้งมั่นอยู่กับพระคริสตเจ้า ใครก็ตามที่ฝากชีวิตไว้กับพระองค์ เขาคนนั้นจะไม่อ้างว้าง และเมื่อพายุแห่งอุปสรรคพัดเข้ามา ชีวิตเขาจะไม่เคว้งคว้างและปลิวไปอย่างไร้จุดหมาย”


วันศุกร์ที่ 19 ส.ค. 2011 – จาก “ศัตรู” กลายเป็น “มิตร”


โฆเซ่ ซาปาเตโร่ เข้าเฝ้าพระสันตะปาปา

ข่าวใหญ่ของวันนี้ก็คือหนังสือพิมพ์ในสเปน พาดหัวว่า “ศัตรูกลายเป็นมิตร” ศัตรูในที่นี้หมายถึง “โฆเซ่ ซาปาเตโร่” นายกรัฐมนตรีผู้หนุนให้ผ่านร่างกฏหมายทำแท้งเสรี สื่อมวลชนสเปนตั้งข้อสังเกตว่า ตั้งแต่วันแรกที่ ซาปาเตโร่ ไปรับเสด็จพระสันตะปาปาที่สนามบิน ท่าทีของเขาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมเป็นคนแข็งกร้าว ไม่สนใจเรื่องมนุษยธรรมและช่วยผู้ยากไร้ แต่พอได้พบพระสันตะปาปาและสนทนากับพระองค์ ซาปาเตโร่ เริ่มดูอ่อนลง สังเกตได้จากตอนพระสันตะปาปาพูดกับเขา “เราควรจะช่วยเหลือชาวแอฟริกันที่กำลังเผชิญภาวะอดอยากอย่างหนักในตอนนี้” ซาปาเตโร่ ก็ตัดสินใจส่งเงินบริจาคทันที ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยส่งเงินไปช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเลย 

นอกจากนี้ เวลามีกระแสวิจารณ์งานเยาวชนโลก ซาปาเตโร่ จะเอาตัวเป็น “เกราะกำบัง” ทันที พร้อมชี้แจงว่า “อยากให้คนที่ต่อต้านงานเยาวชนโลกได้คิดใหม่ เพราะงานนี้คือการกระตุ้นเศรษฐกิจของสเปนให้คึกคักท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา ลองคิดดูว่า มีคนมากกว่า 2 ล้านคน มากินเที่ยวในเมืองหลวงของเรา แล้วอย่างงี้จะไม่ให้เงินสะพัดได้อย่างไร” ... สื่อมวลชนสเปน วิเคราะห์ว่า “ใครที่เป็นคนใจแข็งและไม่มีศาสนา เมื่อได้เจอพระสันตะปาปา เขาจะมีท่าทีอ่อนลง อาจเป็นเพราะชุดพระสันตะปาปาสีขาวบริสุทธิ์ ประกอบกับผู้ที่เป็นพระสันตะปาปาจะมีรังสีความศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้คนรอบข้างสัมผัสได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครได้พบพระองค์ ก็ต้องใจอ่อนเป็นธรรมดา” (ผมว่านี่เป็นเรื่องจริง เพราะจากการได้สัมผัสทั้ง สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 และ สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ผมก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆว่า มีรังสีความศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาจากตัวพระองค์)

ส่วนเหตุการณ์ของเย็นวันนี้ พระสันตะปาปาทรงเป็นประธานในการเดินรูป 14 ภาคไปตามท้องถนนกรุงมาดริด พระองค์ตรัสสอนเยาวชน 1.2 ล้านคนที่มาร่วมพิธี (คนเพิ่มขึ้นทุกวัน) ใจความว่า “เมื่อเราได้รำพึงการรับทรมานและสิ้นพระชนม์ของพระเยซู เราควรถามตัวเองว่า เราทำอะไรให้พระองค์บ้างหรือยัง หรือให้พระองค์ยอมตายเพื่อเราอย่างเดียว การรับทรมานของพระเยซูสอนว่า ยังมีคนอีกมากที่ทุกข์ทรมานกว่าเรา ส่วนตัวเราล่ะ เราพร้อมจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านั้นบ้างไหม หรือจะมัวแต่รักตัวเองเพียงอย่างเดียว” (ไม่แน่ใจว่า พระสันตะปาปาตรัสแบบนี้กับ โฆเซ่ ซาปาเตโร่ หรือเปล่า เขาถึงคิดได้และบริจาคเงินช่วยชาวแอฟริกัน)


วันเสาร์ที่ 20 ส.ค. 2011 – พระสันตะปาปาและเยาวชน ฝ่าพายุฝนเพื่อประกาศความเชื่อ




พระสันตะปาปาทรงเริ่มต้นวันนี้ ด้วยการให้ตัวแทนเยาวชนนอร์เวย์เข้าพบ เพื่อแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์การสังหารหมู่ที่หมู่เกาะอูโตย่าและการระเบิดทำเนียบนายกรัฐมนตรีในกรุงออสโล

จากนั้น พระสันตะปาปาเสด็จไปถวายมิสซาร่วมกับสงฆ์และนักบวชชาวสเปนในอาสนวิหารอัลมูเนด้า มิสซานี้ พระสันตะปาปาประกาศแต่งตั้ง “นักบุญฆวนแห่งอาวิลล่า” ให้เป็น “นักปราชญ์ของพระศาสนจักร” นับเป็นนักปราชญ์องค์ที่ 34 ในประวัติศาสตร์พระศาสนจักร ... นักบุญองค์ล่าสุดที่ได้รับการประกาศในงานเยาวชนโลกให้เป็นนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร ได้แก่ “นักบุญเทเรซาแห่งลีซีเออซ์” (เทเรซาแห่งพระกุมารเยซู) ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ทรงประกาศในงานเยาวชนโลก 1997 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

มิสซานี้ จัดเพื่อให้พระสันตะปาปาเทศน์สอนพระสงฆ์และนักบวชชายโดยเฉพาะ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์จึงตรัสสอนแบบเน้นๆว่า “พวกท่านต้องดำเนินชีวิตดุจผู้ศักดิ์สิทธิ์ พวกท่านต้องกล้าดำเนินชีวิตให้เหมือนกับบรรดานักบุญมากมายที่เป็นประจักษ์พยานในประเทศสเปน ในฐานะที่เป็นสงฆ์ของพระคริสต์ เราต้องจริงจังกับการดำเนินชีวิตแบบนี้ อย่าดำเนินชีวิตศักดิ์สิทธิ์แค่ปากพูด แต่การกระทำต้องควบคู่ไปด้วย ถ้าทำไม่ได้ตามนั้น จงอย่าเทศน์สอนสัตบุรุษ”

หลังมิสซา พระสันตะปาปาได้สด็จไปพบบรรดาผู้พิการในกรุงมาดริด พร้อมตรัสกับพวกเขาว่า “เพื่อนรัก สังคมทุกวันนี้ประเมินค่าของชีวิตต่ำเกินไป พวกท่านอย่าได้น้อยเนื้อต่ำใจกับสิ่งที่เป็น เพราะไม่ว่าท่านจะบกพร่องเรื่องใด ท่านก็ได้ช่วยสร้างอารยธรรมแห่งความรักให้กับสังคม จงภูมิใจเถิดว่า พระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคนเท่ากัน ไม่ว่าเขาคนนั้นจะมีความบกพร่องทางร่างกายหรือไม่ก็ตาม”

ช่วงค่ำ ไฮไลต์ของงานเยาวชนโลกก็มาถึง เมื่อเยาวชนกว่า 2 ล้านคน ปรากฏตัวพร้อมกันเพื่อร่วมพิธีตื่นเฝ้ากับพระสันตะปาปา (ตอนแรกคาดว่า จะมากันแค่ 1.5 ล้าน แต่เอาเข้าจริง มากัน 2 ล้านเลย) ตอนแรกพิธีนี้ดำเนินไปด้วยดี แต่แล้ว “พายุฝน” ก็กระหน่ำลงมาอย่างหนัก นี่คือบททดสอบของจริงว่า ใครจะเป็นของจริง (ไม่หลบฝน) ของปลอม (หลบฝน) ปรากฏว่า พระสันตะปาปาและเยาวชน 2 ล้านคนนั้นเป็นของจริง ทุกคนพร้อมใจกันตากฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก เพื่อประกาศความเชื่อในพระเจ้าอย่างเข้มแข็ง ใจความสำคัญของบทสอนในคืนนี้ พระสันตะปาปาตรัสว่า “จงกล้าเป็นประจักษ์พยานถึงพระคริสต์ในโลกที่เบียดเบียนพระองค์ จงกล้าที่จะแสวงหากระแสเรียกที่พระเจ้ามอบให้ และใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับสังคม”

ตอนท้าย พระสันตะปาปาตรัสขอบใจเยาวชนที่ตากฝนฟังพระองค์ว่า “คืนนี้ พ่อขอบใจพวกเธอมากๆที่อดทนตากฝนฟังพ่อพูด ความอดทนเข้มแข็งของพวกเธอแข็งแกร่งกว่าสายฝนที่กระหน่ำลงมา คืนนี้ พระเจ้าทรงอวยพรเธอทุกคนด้วยสายฝนอันชุ่มฉ่ำ นี่คือพลังให้พวกเธอทำงานเพื่อพระองค์ตลอดไป ดูซิ จงดูที่ท้องฟ้าในคืนนี้ เธอจะพบว่ามีการทดลองพวกเราว่า จะหลบฝนเพื่อไม่ต้องมาเป็นประจักษ์พยานถึงพระองค์หรือไม่ แต่พวกเธอก็กล้าจะยืนเปียกปอนเพื่อแสดงออกถึงความเชื่อที่มี พ่อขอบใจพวกเธอมากๆ แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้กับมิสซาปิดงานเยาวชนโลก .... ราตรีสวัสดิ์เยาวชนที่รักของพ่อ”


วันอาทิตย์ที่ 21 ส.ค. 2011 – อำลามาดริด พบกันที่ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล


พระสันตะปาปา (กลางภาพ) ถูกรุมล้อมด้วยเยาวชน 2 ล้านคน



 





ไฮไลต์สุดท้ายก็มาถึงนั่นคือ พระสันตะปาปาทรงเป็นประธานมิสซาปิดงานเยาวชนโลก ท่ามกลางเยาวชนที่มาร่วมกว่า 2 ล้านคน

บทเทศน์ในมิสซานี้ พระสันตะปาปาเทศน์สอนเยาวชนว่า “จงให้พระคริสตเจ้า บุตรพระเจ้า เป็นศูนย์กลางของชีวิต กระนั้น พ่อขอเตือนสติลูกทุกคนว่า การติดตามพระเยซูคริสต์หมายถึงการเดินไปพร้อมกับพระศาสนจักร เราไม่สามารถติดตามพระเยซูด้วยการเดินไปคนเดียว ใครก็ตามที่ถูกล่อลวงให้ทำอะไรโดยเชื่อมั่นในตัวเองแบบสุดๆ ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกล่อลวงให้เดินออกนอกลู่นอกทางไป ลูกๆเยาวชนที่รัก พ่อขอมอบหมายหน้าที่พิเศษให้ลูกๆ นั่นคือ จงเป็นธรรมทูตให้พระเยซูเจ้าในประเทศของพวกเธอ จงแสวงหาสิ่งดีงามให้เกิดกับสังคม จงอย่าปล่อยตัวให้ตกเป็นทาสของความชั่วและจงทำหัวใจให้ว่างสำหรับพระเจ้าเสมอ”

ตอนท้ายของมิสซา พระสันตะปาปาทรงประกาศให้ “นครริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล” เป็นเจ้าภาพงานเยาวชนโลกครั้งต่อไป โดยจะจัดระหว่างวันที่ 18-23 กรกฏาคม 2013 ปกติแล้ว งานเยาวชนโลกจะจัดทุก 3 ปี แต่ครั้งนี้ ระยะห่างเหลือแค่ 2 ปี เพราะปี 2014 บราซิลจะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก จึงต้องขยับขึ้นมาให้เร็วขึ้นนั่นเอง ... การที่งานเยาวชนโลกไปจัดที่บราซิล เท่ากับว่า ทวีปอเมริกาใต้สิ้นสุดการรอคอย 26 ปีแห่งการเป็นเจ้าภาพงานเยาวชนโลกเสียที ครั้งสุดท้ายที่เยาวชนโลกจัดที่อเมริกาใต้คือ ค.ศ.1987 ณ กรุงบูเอโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า

ทั้งนี้ มีการเปิดเผยด้วยว่า งานเยาวชนโลก 2011 ที่เพิ่งจบลงไป เป็นงานชุมนุมใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สเปน นอกจากนี้ งานเยาวชนโลก 2011 เป็นงานชุมนุมที่มีคนมาร่วมมากสุดเป็นอันดับ 2 ของประวัติศาสตร์ยุโรป ... ส่วนงานชุมนุมที่มีคนมาร่วมมากสุดในประวัติศาสตร์ยุโรป คือ งานชุมนุมเยาวชนโลก 2000 ซึ่งจัดที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ครั้งนั้นมีเยาวชนมาร่วมประมาณ 3.5 - 4 ล้านคน



AVE   MARIA



Comments