ฟาติมาสาร - การปฏิรูปและชำระล้างสิ่งแย่ๆ ... เริ่มขึ้นแล้ว (5 มิ.ย. 2011)

สมัยที่ สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ยังดำรงสมณศักดิ์ “พระคาร์ดินัล โยเซฟ รัตซิงเกอร์” เวลาที่คนทั่วไปได้ยินชื่อนี้ สิ่งแรกที่พวกเขานึกถึงคือความเป็นคนสุภาพ, การไม่ยอมก้มหัวให้ความไม่ถูกต้อง และความเด็ดขาดในการตัดสินใจ มาปีนี้ ความเป็นตัวตนเหล่านี้ ค่อยๆถูกเผยแสดงออกมาทีละเล็กทีละน้อย โดยเริ่มจากกรุงโรมและแผ่ขยายออกไปยังสังฆมณฑลต่างๆทั่วโลก




สัปดาห์ที่แล้ว ข่าวคาทอลิกที่ดังระดับโลก มาจากกรุงโรม เมื่อสำนักข่าวทุกแห่งรายงานว่า “พระสันตะปาปาสั่งปิดอารามคณะซิสเตอร์เชี่ยน ประจำมหาวิหารซานตาโครเชแห่งเยรูซาเล็ม” (แปลว่า กางเขนศักดิ์สิทธิ์แห่งกรุงเยรูซาเล็ม ... ชื่อบอกว่า “แห่งเยรูซาเล็ม” แต่จริงๆแล้ว ตั้งอยู่ในกรุงโรม) มหาวิหารนี้ สร้างในค.ศ.325 และยังเป็น 1 ใน 7 มหาวิหารของกรุงโรมที่ผู้แสวงบุญ “ควร” จะไปเยือน

ข่าวนี้ “ดัง” ในวงการสื่อ และ “ตลกขบขันเชิงขายหน้า” ในวงการบันเทิง ... ต้นตอของเรื่องเกิดในปี 2009 เมื่อ “ซิสเตอร์ อันนา โนบิลี่” นักบวชคณะซิสเตอร์เชี่ยน (ในอดีต ซิสเตอร์คนนี้ เป็นนักเต้นระบำโป๊ชื่อดังของอิตาลี ก่อนจะกลับใจและสมัครบวชเป็นซิสเตอร์) ได้จัดการแสดง “ระบำศักดิ์สิทธิ์” ในมหาวิหารซานตาโครเชแห่งนี้ การแสดงวันนั้น มีบรรดาพระคาร์ดินัลระดับสูงของวาติกันได้รับเชิญไปชมการแสดงด้วย




ซิสเตอร์โนบิลี่ ซ้อมการแสดงระบำศักดิ์สิทธิ์ในวัดน้อยของอาราม


อย่างไรก็ตาม เมื่อการแสดงเริ่มขึ้น พระคาร์ดินัลและสัตบุรุษจำนวนมากถึงกับ “อึ้ง” กับภาพการแสดงที่เกิดขึ้น เมื่อ ซิสเตอร์โนบิลี่ ออกไปเต้นรำรอบๆพระแท่นถวายมิสซาในมหาวิหารอันเก่าแก่, วางไม้กางเขนลงบนพื้น และไถลตัวตามไปหยิบไม้กางเขนมากอด ก่อนภาพที่ทุกคน “รับไม่ได้อย่างแรง” จะเกิดขึ้น เมื่อ ซิสเตอร์โนบิลี่ เดินไปหน้าตู้ศีลมหาสนิทและไปเต้นรำอย่างออกท่าทางตรงนั้น

หลังการแสดงจบลงไม่กี่วัน ภาพและคลิปการแสดงก็ถูกส่งไปถึงสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 แน่นอนว่า พระสันตะปาปารับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะวัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ใช้สรรเสริญพระเจ้า นอกจากนี้ สถานที่จัดการแสดง ยังไม่ใช่วัดธรรมดา แต่เป็นถึง “มหาวิหารเก่าแก่ อายุเกือบ 1,700 ปี” ดังนั้น พระสันตะปาปาจึงไม่ลังเลจะส่งทีมสอบสวนไปยังอารามซิสเตอร์เชี่ยนประจำมหาวิหารซานตาโครเช การสอบสวนใช้เวลา 1 ปีกว่าๆ (2009-2011) ก่อนจะได้ข้อสรุปไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นั่นคือ พระสันตะปาปาสั่ง “ปิด” อารามแห่งนี้ เพราะสมาชิกคณะทำผิดกฏร้ายแรง 2 เรื่องใหญ่ๆ ได้แก่ 1. จัดการแสดงที่หมิ่นเหม่ต่อการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรม (อารามแห่งนี้ จะเต้นรำแบบ “เลยเถิด” ในพิธีมิสซาอยู่เป็นประจำ) และ 2. อารามแห่งนี้ มีความผิดปกติเกี่ยวกับงบการเงิน นั่นคือ ไม่สามารถแสดงที่มาที่ไปของรายรับรายจ่ายได้อย่างชัดเจน 

เรื่องความผิดปกติของงบการเงิน มีอยู่ว่า “คุณพ่อซิโมเน่ ฟิออราโซ่” อธิการอารามซิสเตอร์เชี่ยนประจำมหาวิหารซานตาโครเช (คุณพ่อท่านนี้ มีชื่อเสียงในฐานะนักบวชนักประชาสัมพันธ์โครงการตัวเอง) ได้จัดโครงการ “อ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ลแบบมาราธอน 6 วัน 6 คืน” โครงการดังกล่าวจัดเมื่อปี 2008 ที่มหาวิหารซานตาโครเชแห่งนี้นี่แหละ ตอนนั้น พระสันตะปาปาเบเนดิกต์, พระคาร์ดินัลระดับสูงของวาติกัน, สมาชิกคณะรัฐบาล, ดารานักแสดง, นักฟุตบอล และบุคคลชื่อดังในอิตาลี เข้าร่วมโครงการอย่างคับคั่ง โครงการนี้ได้รับการถ่ายทอดสดตลอด 6 วัน และตลอด 24 ชั่วโมงทั่วอิตาลี (เหมือนเรียลลิตี้โชว์) การอ่านพระคัมภีร์เริ่มตั้งแต่พันธสัญญาเดิม (ปฐมกาล) และไปจบที่พันธสัญญาใหม่ (วิวรณ์) คุณพ่อฟิออราโซ่ ประชาสัมพันธ์โครงการจนกลายเป็นเรื่อง “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” สปอนเซอร์มากมายเข้ามาร่วมสนับสนุน 


คุณพ่อซิโมเน่ ฟิออราโซ่ อธิการ


 
"มาดอนน่า" มาเยือนมหาวิหารซานตาโครเช ในฐานะแขกวีไอพี มีไกด์เป็นนักบวชซะด้วย


อย่างไรก็ดี เมื่อโครงการนี้จบลง ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า คุณพ่อฟิออราโซ่ เปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็น “นักบวชผู้ศักดิ์สิทธิ์ในอาราม” เริ่มเปลี่ยนเป็น “นักบวชผู้รักการออกงานสังคม” อาทิ มีการปิดมหาวิหาร เพื่อต้อนรับ “มาดอนน่า” ซูเปอร์สตาร์นักร้องที่เดินทางมาเที่ยวกรุงโรมแบบส่วนตัว   นอกจากนี้ คุณพ่อฟิออราโซ่ ยังนำเงินจากสปอนเซอร์หลายเจ้า ไปลงทุนเพิ่มเติม ด้วยการพัฒนาโรงแรมที่พักอาศัย (โดยให้คณะซิสเตอร์เชี่ยนเป็นเจ้าของ) แต่พอ พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ส่งทีมสอบสวนเข้ามาตรวจสอบบัญชีของคณะซิสเตอร์เชี่ยน ปรากฏว่า คุณพ่อฟิออราโซ่ ไม่สามารถแสดงที่มาที่ไปของเงินได้อย่างกระจ่างชัด (เงินหายไปหลายล้านยูโร โดยที่บอกไม่ได้ว่า หายไปไหน)

เมื่อนำเรื่อง “การเต้นรำศักดิ์สิทธิ์” และ “งบการเงินที่ไม่โปร่งใส” มาประกอบกัน ก็เป็นเหตุให้พระสันตะปาปาตัดสินพระทัยสั่งปิดอารามคณะซิสเตอร์เชี่ยน ประจำมหาวิหารซานตาโครเช ไปโดยปริยาย เพราะหลักฐานนั้น มันเด่นชัดเหลือเกิน

ในปี 2011 นอกจาก ซิสเตอร์อันนา โนบิลี่ และ คุณพ่อซิโมเน่ ฟิออราโซ่ พระสังฆราชและพระสงฆ์ที่ถูกลงโทษจากพระสันตะปาปา เนื่องจากทำผิดวินัยร้ายแรง ยังมีชื่อของ “พระสังฆราช วิลเลี่ยม มอร์ริส” พระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลทูวูมบ้า ประเทศออสเตรเลีย และ คุณพ่อเฟร์นานโด คาราดิม่า สงฆ์ชาวชิลี ติดโผเข้ามาด้วย

ในรายของ พระสังฆราช วิลเลี่ยม มอร์ริส พระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลทูวูมบ้า ประเทศออสเตรเลีย ความผิดของพระสังฆราชองค์นี้ร้ายแรงยิ่งนัก วาติกันใช้ความพยายามถึง 6 ปี ในการขอร้องให้พระสังฆราชองค์นี้ลาออกจากตำแหน่ง เรื่องมันเกิดปี 2006 เมื่อพระสังฆราชมอร์ริส ออกจดหมายถึงบรรดาพระสังฆราชในออสเตรเลีย ให้พิจารณาการอนุญาตบวชสตรีเป็นสงฆ์, การอนุญาตให้ผู้ชายที่แต่งงานมีครอบครัว “อยู่แล้ว” สามารถบวชเป็นสงฆ์ได้, การเชิญให้ศิษยาภิบาลของโปรเตสตันท์ มาร่วมถวายมิสซาบนพระแท่นกับสงฆ์คาทอลิกในระหว่างมิสซา และสุดท้าย รณรงค์ให้พระสังฆราชและพระสงฆ์คาทอลิก เลิกใส่ชุด “เคลอร์ยี่ร์” (CLERGY – เสื้อพระสงฆ์ที่มีปลอกขาวๆตรงคอ) แต่ให้มา “ใส่สูทผูกเนกไท” แทน

มีการเปิดเผยออกมาว่า ใน 6 ครั้งที่วาติกันพยายามขอให้พระสังฆราชองค์นี้ลาออก แบ่งเป็นการขอร้องจากสมณกระทรวงเพื่อพระสงฆ์ 3 ครั้ง และพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ทรงส่งจดหมายไปขอร้องด้วยพระองค์เองอีก 3 ครั้ง แต่ในเมื่อทุกอย่างไม่ได้รับการตอบสนอง พระสันตะปาปาเบเนดิกต์จึงตัดสินพระทัยขั้นเด็ดขาด ด้วยการ “ปลด” (SACK) เสียเลย ... ตั้งแต่ทำข่าวพระสันตะปาปาและวาติกัน มา 9 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพระสันตะปาปา “ปลด” พระสังฆราช แบบเป็นทางการ เพราะบ่อยครั้ง จะใช้วิธีประนีประนอม คือขอร้องก่อน และอีกฝ่ายจึงตอบสนอง เพราะใจไม่ด้านพอ (วาติกันขอร้อง และอีกฝ่ายลาออกเอง วาติกันจะแถลงว่า “พระสังฆราชยื่นใบลาออก” แต่กรณีแบบพระสังฆราชมอร์ริส วาติกันแถลงว่า “พระสันตะปาปาทรงถอดถอน”)  

มาถึง คุณพ่อเฟร์นานโด คาราดิม่า สงฆ์ชาวชิลี วัย 81 ปี คุณพ่อท่านนี้ เป็นสงฆ์ระดับ “ตำนาน” เป็นที่เคารพรักอย่างสูงของคริสตังชาวชิลี ท่านเป็น “อาจารย์” ผู้สอนพระคาร์ดินัลและพระสังฆราชชาวชิลี มากว่า 50 องค์ อย่างไรก็ตาม ปี 2010 ท่านถูกเปิดโปงว่า เคยล่วงละเมิดทางเพศเด็กมานับไม่ถ้วน ระหว่างค.ศ.1966-1986 (น่าเศร้า เพราะถูกเปิดโปงตอนอายุ 80 ปี แสดงให้เห็นว่า ต่อให้คุณจะเกษียณอายุ ก็ไม่มีใครสน เพราะทำผิดต้องได้รับโทษ) เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนเสร็จและ คุณพ่อคาราดิม่า ก็ยอมรับว่า ตนทำเรื่องดังกล่าวจริง พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ทรงลงโทษคุณพ่อท่านนี้ (แบบเบาๆ) ด้วยการสั่งห้ามทำงานอภิบาล (อาทิ ถวายมิสซา) ให้สัตบุรุษไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต เช่นเดียวกับสั่งให้สวดภาวนาและพลีกรรมใช้โทษบาปไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ... สาเหตุที่พระสันตะปาปาไม่มอบสถานะฆราวาสให้คุณพ่อองค์นี้ (จับสึก) เพราะอายุมากแล้ว อีกไม่นาน ท่านก็จะได้รับการพิพากษาต่อหน้าพระเจ้าแล้ว

ทั้งหมดที่กล่าวมา น่าจะทำให้ทุกท่านพอเห็นภาพชัดเจนขึ้นในด้านการปกครองของสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ที่กล่าวมาคือ “การชำระล้างสิ่งแย่ๆ” ในพระศาสนจักรให้หมดไปทีละเล็กทีละน้อย ในส่วนของ “การฏิรูป” หลายท่านน่าจะอ่านผ่านตาไปแล้วกับการปฏิรูปพิธีกรรม การอนุญาตให้ถวายมิสซาลาตินอีกครั้ง เพื่อขจัดความแตกแยกและสร้างความปรองดองในพระศาสนจักร

ในมุมมองของผม พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ เป็นคนเด็ดขาดมากๆ กับการกำจัดเรื่องไม่ถูกต้องในพระศาสนจักร อาทิ สงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ หรือพวกพิธีกรรมที่ทำให้ความเชื่อผิดเพี้ยน พระองค์ไม่เคยก้มหัวให้เลย ถ้าผิดต้องรีบแก้ไข จะปล่อยไว้ไม่ได้ 

นอกจากนี้ อีกเรื่องที่ได้ใจคริสตังหลายคนไปเต็มๆ ก็คือ “การตรวจสอบความโปร่งใสทางการเงินของพระศาสนจักร” สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 เน้นมากกับเรื่องนี้ พระองค์พูดเสมอว่า “พระศาสนจักรคาทอลิกต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้” ตัวอย่างชัดเจนคือเรื่องการปฏิรูปธนาคารวาติกัน ธนาคารเจ้าปัญหาที่มีคดีฟอกเงิน, การเล่นแร่แปรธาตุทางการเงินจากพวกมาเฟียทั้งในและนอกวาติกันกันอย่างฉาวโฉ่ (คิดดูแล้วกันว่า สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 1 และ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ยังหนักใจแบบสุดๆ เมื่อต้องเข้าไปยุ่งกับธนาคารวาติกัน ทั้งๆที่เป็นหน่วยงานของวาติกันแท้ๆ) แต่พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ไม่เคยกลัว พระองค์ทรงออกกฏหมายใหม่เพื่อควบคุมการเงินในวาติกัน ทั้งนี้ เพื่อปกป้องพระศาสนจักรให้รอดพ้นจากการถูกคนบางกลุ่มนำไปแสวงหาผลประโยชน์

สรุปแล้ว ในยุคของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ การปฏิรูปจะเน้นไปที่การปฏิรูปความสัมพันธ์ทั้งในพระศาสนจักรและนอกพระศาสนจักร (อาทิ การเน้นการคืนดีกับพระศาสนจักรออโธด็อกซ์) ส่วนการชำระล้าง จะเน้นที่การขจัดปัญหาล่วงละเมิดทางเพศ, การขจัดปัญหาการทำให้ความเชื่อผิดเพี้ยน และการขจัดปัญหาคอร์รัปชั่นโกงเงินในพระศาสนจักร

ปี 2011 เข้าสู่ปีที่ 6 ในสมณสมัยการปกครองของสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ผมมั่นใจว่า ปีนี้ จะเป็นปีที่เราได้เห็น “ผลงาน” และ “ความเป็นตัวตน” ของพระสันตะปาปาองค์ปัจจุบัน แบบเด่นชัดสุด   .... 



AVE   MARIA



หมายเหตุ – ที่ผมบอกว่า ถ้าผู้แสวงบุญมีโอกาสไปเยือนกรุงโรม คุณควรจะไปเยือน “มหาวิหารซานตาโครเช” 1 ใน 7 มหาวิหารแสวงบุญของกรุงโรม (หาไม่ยาก เพราะอยู่ใจกลางกรุงโรม) เนื่องจากมหาวิหารแห่งนี้ เป็นสถานที่   ....

1) เก็บ “เศษไม้กางเขน” ที่ใช้ตรึงพระเยซู

2) เก็บ “หนาม 2 ชิ้น” จากมงกุฏหนามที่สวมพระเศียรของพระเยซู

3) เก็บ “ป้าย INRI” ป้ายที่ ปอนซีโอ ปิลาโต เขียนบอกว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว” เพื่อติดไว้บนกางเขน

4) เก็บ “เศษก้อนหิน 3 ก้อน ... โดยก้อนแรก เป็นเศษเสาหินที่ทหารจับพระเยซูมัดไว้กับเสา เพื่อเอาแส้มาโบยตี, ก้อนหินที่สอง เป็นเศษก้อนหินจากหินที่ปิดคูหาฝังศพพระเยซู และก้อนที่สาม เป็นหินจากคอกสัตว์ที่พระเยซูประสูติ

5)  เก็บพระธาตุที่เป็น “นิ้ว” ของนักบุญโทมัส อัครสาวก

6) เก็บ “เศษไม้กางเขน” ของโจรกลับใจที่ถูกตรึงกางเขนพร้อมพระเยซู





Comments