ฟาติมาสาร - STATE OF THE WORLD (16 มกราคม 2011)

วันจันทร์ที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา คณะทูต 178 ประเทศที่ประจำสันตะสำนักได้มาเข้าเฝ้าถวายพระพรปีใหม่แด่พระสันตะปาปา การถวายพระพรนี้เป็นประเพณีที่จัดเป็นประจำทุกปี ไฮไลต์สำคัญนอกเหนือจากการเข้าเฝ้าประมุขพระศาสนจักรคาทอลิก ยังอยู่ที่การตรัสสุนทรพจน์ “STATE OF THE WORLD” ด้วย




ส่วนตัวแล้ว ผมไม่แน่ใจว่า ทำไมวาติกันถึงเรียกสุนทรพจน์นี้ว่า “STATE OF THE WORLD” แต่ดูจากเนื้อหาปีก่อนๆ พอเดาได้ว่า นี่คือการสะท้อนแนวคิดของพระสันตะปาปาที่มีต่อสถานการณ์ในประเทศต่างๆ พระสันตะปาปาตรัส STATE OF THE WORLD ในฐานะ “กษัตริย์นครรัฐวาติกัน” ดังนั้น ผู้ฟังย่อมเป็นคณะทูตผู้แทนประเทศต่างๆที่สันตะสำนักเจริญสัมพันธไมตรีด้วย (แหล่งข่าวบางแห่งบอกว่า สุนทรพจน์ STATE OF THE WORLD ไม่ต่างไปจาก “การประกาศนโยบายประจำปีของวาติกัน” เพราะหลังการประกาศนี้ พระสันตะปาปาจะรณรงค์สิ่งที่ประกาศไปตลอดทั้งปีก็ว่าได้)


สำหรับเนื้อหาสุนทรพจน์ประจำปีนี้ พระสันตะปาปาทรงเน้น “เสรีภาพในการนับถือศาสนา” รวมถึง “ปัญหาการพยายามทำให้ศาสนาเป็นส่วนเกินของสังคม”

เรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนา ... ผมคิดว่า คริสตังไทย 99 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับความหมายนี้ เพราะคนไทยได้เสรีภาพในการนับถือศาสนาโดยปราศจากการกดขี่ข่มเหง นี่เป็นเสรีภาพที่ได้มาตั้งแต่เกิด จนหลายคนลืมตระหนักถึงคุณค่าของมัน แต่ถ้าลองพูดเรื่องนี้กับคริสตังในประเทศที่มีการเบียดเบียนศาสนาอย่างรุนแรง อาทิ จีน, อิรัก, ปากีสถาน รวมไปถึงบางรัฐของอินเดีย รับรองได้ว่า พวกเขาคงต้องการให้เสรีภาพดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างมาก

คงไม่ต้องสาธยายกันให้มากว่า ประเทศเหล่านี้มีการเบียดเบียนศาสนาอย่างไร เพราะผมเคยเขียนไปหลายครั้งแล้ว  

“จอห์น อัลเลน” นักข่าวสายวาติกันที่เป็นนักวิเคราะห์ทางสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น บอกว่า สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 น่าจะเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกในประวัติศาสตร์ของการกล่าวสุนทรพจน์ STATE OF THE WORLD ที่ “กล้า” ระบุชื่อประเทศที่เกิดปัญหา แบบไม่กลัวปัญหาจะตามมาหาเรื่องตัวพระองค์เอง

ตามปกติ พระสันตะปาปาองค์ก่อนๆ จะกล่าวสุนทรพจน์นี้แบบกว้างๆ ถ้าพูดเรื่องการเบียดเบียนคริสตัง ก็จะพูดแค่นี้ ไม่ระบุว่า เกิดที่ไหนบ้าง ทั้งนี้ เพื่อป้องกันปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่จะตามมา แต่งานนี้ พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ไม่มีกลัว พระองค์ทรงระบุชื่อประเทศที่เกิดปัญหาเบียดเบียนคริสตังออกมาแบบชัดเจน ได้แก่ จีน, อิรัก, ไนจีเรีย, ปากีสถาน, อียิปต์ รวมถึงขอร้องให้ประเทศมุสลิมทั้งหลาย ช่วยคุ้มครองและปกป้องชาวคริสต์ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศ ให้มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากกว่าที่เป็นอยู่

ในเมื่อระบุชื่อกันชัดๆแบบนี้ ประเทศที่ถูกพาดพิงย่อมอยู่นิ่งไม่ได้ “อียิปต์” และ “ปากีสถาน” ออกมาโวยก่อนเพื่อนเลย ทั้งสองประเทศบอกว่า วาติกันอย่ามายุ่งเรื่องในประเทศจะดีกว่า อียิปต์เพิ่งเกิดเหตุคาร์บอมบ์เข้าใส่คริสตชนออโธด็อกซ์จารีตค็อปติก ขณะที่พวกเขาเดินออกจากโบสถ์หลังมิสซาปีใหม่จบลง งานนี้ มีผู้เสียชีวิต 23 ศพ บาดเจ็บอีก 70 กว่าคน 

ส่วน ปากีสถาน พระสันตะปาปาไม่เห็นด้วยกับ การลอบสังหาร “ซัลมาน ทาเซียร์” ผู้ว่าการแคว้นปัญจาบ ซึ่งถูกลอบยิงเนื่องจากมีท่าทีไม่เห็นด้วยกับกฏหมายต่อต้านศาสนาอิสลาม ทาเซียร์เป็นมุสลิมผู้ฝักใฝ่สันติ เขาต่อต้านกฏหมายที่นำความรุนแรงเข้ามาผูกติดกับศาสนา สิ่งนี้ทำให้มุสลิมหัวรุนแรงโกรธมาก พอมีข่าว ทาเซียร์ โดนฆ่าโดยบอดี้การ์ดของตัวเองซึ่งเป็นมุสลิมหัวรุนแรง พวกกลุ่มหัวรุนแรงก็ออกมาแซ่ซ้องสดุดีผู้ก่อเหตุเป็นการใหญ่ พระสันตะปาปาจึงร่วมไว้อาลัยและประณามการกระทำดังกล่าว เฉพาะอย่างยิ่ง พวกก่อการร้ายและพวกใช้ความรุนแรงที่ชอบนำศาสนามาบังหน้า

เมื่อพระสันตะปาปาทรงระบุชื่อแบบชัดๆ ส่วนประเทศถูกพาดพิงออกมาตำหนิพระองค์ มันก็สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่ผมเขียนไปว่า “พระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 เป็นคนยึดมั่นในความจริงที่เกิด พระองค์กล้าระบุชื่อประเทศที่เกิดปัญหา แบบไม่กลัวปัญหาจะตามมาหาเรื่องตัวพระองค์เอง”

ส่วนปัญหา “ปัญหาการพยายามทำให้ปัญหาเป็นส่วนเกินของสังคม” หากยังจำเรื่องการสั่งห้ามติดสัญลักษณ์ทางศาสนาในที่สาธารณะ อาทิ ไม้กางเขน, รูปแม่พระ และถ้ำพระกุมาร นั่นแหละคือปัญหาที่พระสันตะปาปาทรงกำลังกล่าวถึง

พระสันตะปาปาทรงทราบดีว่า ตอนนี้ คนยุโรปและอเมริกันจำนวนมาก กำลังเสื่อมศรัทธากับศาสนา หลังจากมีคนบางกลุ่มนำศาสนาไปใช้ในทางที่ผิด อาทิ ก่อการร้าย หรือจะเป็นพวกสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศที่ทำลายความดีงามของศาสนาจนป่นปี้ เรื่องดังกล่าวทำให้คนยุโรปและอเมริกันจำนวนมาก ละทิ้งการนับถือศาสนา นอกจากนี้ บางประเทศในยุโรป ถ้าคุณแจ้งราชการว่าคุณนับถือศาสนา คุณจะถูกเก็บภาษีบำรุงศาสนาด้วย ตัวอย่างชัดๆที่สัมผัสมาด้วยตัวเองก็คือ “สวีเดน” (รัฐบาลจะมอบเงินเหล่านี้ให้ศาสนจักรต่างๆ พัฒนาศาสนาของตน...แต่ปัญหาคือ เก็บภาษีค่อนข้างสูง 7-10 เปอร์เซ็นต์) เมื่อรวมปัญหาทุกอย่างเข้าด้วย ผสมกับต้องจ่ายภาษีให้ศาสนจักร ทางออกของชาวบ้านเหล่านี้ก็คือเลิกนับถือไปเลยดีกว่า

จากประสบการณ์ที่ผมเจอ ตอนนี้ ชาวยุโรปจำนวนมากค่อนข้างมีอคติกับคำว่าศาสนา แม้บางคนจะเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แต่การที่ศาสนาถูกนำไปผสมกับความรุนแรงและถูกนำไปปู้ยี่ปู้ยำโดยพวกสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ ประกอบกับบางคนยังฝังหัวกับการแย่งชิงอำนาจในกลุ่มสมณะชั้นสูง ทำให้คนธรรมดาทั่วไปมีความรู้สึกว่า “ไม่มีศาสนานี่แหละคือการประกาศตนเป็นกลางมากที่สุด” กล่าวคือ ไม่ต้องมาแตกแยกทางความคิด เราคุยกันแบบคนธรรมดาก็พอ

ผมมั่นใจว่า พระสันตะปาปาทราบปัญหานี้ พระองค์จึงตรัสผ่านสุนทรพจน์ STATE OF THE WORLD เพื่อยืนยันว่า “ศาสนาไม่ใช่ตัวปัญหาของสังคม ศาสนาไม่ใช่ต้นเหตุของความขัดแย้ง ที่สำคัญ พระศาสนจักรคาทอลิกไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์และสิทธิพิเศษจากพันธกิจที่ตนเองปฏิบัติ พระศาสนจักรคาทอลิกไม่หวังเข้าไปแทรกแซงกิจการในประเทศใดๆ”  

ผมไม่รู้ว่าคนทั่วไปคิดอย่างไรกับพระดำรัสนี้ แต่ส่วนตัวแล้ว ผมมั่นใจว่า นี่คือตัวตนแท้จริงของสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ผู้ยึดมั่นความถูกต้องและความจริง สมัยก่อน เฉพาะอย่างยิ่งยุคกลาง ผู้ดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาอาจมีการก้าวก่ายการเมืองบางประเทศ จนเป็นเหตุให้พระศาสนจักรคาทอลิกยังคงถูกโจมตีมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ตอนนี้ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว บทเรียนการก้าวก่ายและแทรกแซงนำมาซึ่งความปวดร้าว มันสอนคนยุคนี้ที่รักการเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต ให้นำมาแก้ไขตัวเองได้เป็นอย่างดี

... ปีนี้จะเข้าสู่ปีที่ 6 แห่งสมณสมัยการปกครองของสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุขผู้ทรงพระชนมายุ 83 ชันษา (ย่าง 84 เดือนเมษายน) จากการติดตามทำข่าวพระสันตะปาปาองค์นี้มา 5 ปี รวมทั้งการได้ติดตาม STATE OF THE WORLD ประจำปีนี้ ผมมั่นใจว่า พระเจ้าเลือกคนสานงานต่อจาก สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ได้อย่างเหมาะสมและชอบยิ่งนักจริงๆ  


                               

                                   AVE   MARIA

Comments