ฟาติมาสาร : อำลา 2010 ... ปีบอบช้ำของพระศาสนจักร (26 ธ.ค. 2010)

ตั้งแต่ย่างเท้าเข้าสู่วงการนักข่าวสายพระสันตะปาปาและวาติกัน มา 8 ปี (2002-ปัจจุบัน) ผมว่า ปี 2010 เป็นปีที่พระศาสนจักรคาทอลิกเจอเรื่องเลวร้ายมากสุด ถ้าหากติดตามบทความของผมตั้งแต่วันแรกที่ลงในฟาติมาสาร (26 พ.ค. 2002) น่าจะสังเกตได้ว่า นี่คือปีที่ผมเขียนถึงเรื่องร้ายๆในพระศาสนจักรมากที่สุดตั้งแต่เริ่มเขียนงานมา (ใจจริงไม่อยากเขียนเรื่องพวกนี้ แต่ “พระสันตะปาปาผู้พิทักษ์ความจริง” เบเนดิกต์ ที่ 16 สอนผมว่า อย่ากลัวเรื่องในมุมมืดของพระศาสนจักร แต่จงเชิดหน้าสู้กับมัน เพราะการยอมรับความจริง จะทำให้เราเป็นอิสระจากอันตรายทั้งปวง)



ในมุมมองของผม สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 เป็นบุคคลที่น่าสงสารมาก เรื่องร้ายๆที่สะสมนานหลายสิบปี ดันมาปะทุขึ้นในสมณสมัยของพระองค์ นอกจากนี้ ผมมั่นใจว่า ต่อให้พยายามมากขนาดไหน มันก็ยากที่พระองค์จะก้าวผ่านเงาของ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ซูเปอร์ฮีโร่ของใครหลายคน (รวมทั้งผมด้วย)
 
เรื่องร้ายๆที่เกิดนั้น เกิดในสมณสมัยพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ก็จริง แต่หากมีใครชี้นิ้วฟันธงว่า ทุกอย่างเป็นความผิดของพระองค์ ผมว่า คนนั้นต้องบ้าไปแล้ว ถ้าเราอ่านข่าวอย่างละเอียด จะพบว่า กว่าเรื่องร้ายๆจะมาถึงพระสันตะปาปา พวกสมณะผู้ปกครองระดับท้องถิ่นก็ปกปิดเรื่องอื้อฉาวมาแล้ว ถ้าเรื่องมาถึงพระสันตะปาปา แสดงว่า มันร้ายแรงเกินจะเยียวยา ถ้าพระสันตะปาปาแก้ไม่สำเร็จ ผลที่ตามมาก็คือพระองค์จะตกเป็นเป้าโจมตีของคนทั้งโลก ตัวอย่างชัดเจนคือเรื่องสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ เรื่องนี้ สังฆมณฑลท้องถิ่นในยุโรปและอเมริกา ปกปิดเรื่องมานาน 30-40 ปี และพอเกิดเรื่องฟ้องร้อง คนโดนด่าคือพระสันตะปาปา ทั้งๆที่พระองค์ไม่รู้เรื่องด้วยเลย

หากจะไล่เรียงลำดับเรื่องร้ายๆประจำปี 2010 ที่เกิดกับพระศาสนจักรคาทอลิก ผมว่า เรื่องเด่นๆน่าจะประกอบไปด้วย คดีสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ, ปัญหาคนยุโรปทิ้งวัดพุ่งสูงขึ้น, การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คริสตังในอิรัก และการเบียดเบียนคริสตังจีน   ...

คดีสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ - หากยังจำกันได้ ปี 2009-2010 พระสันตะปาปาทรงประกาศให้เป็นปีพระสงฆ์ ช่วงแรกๆ สำนักข่าวคาทอลิกต่างประเทศก็นำเสนอเกร็ดความรู้และทำสกู๊ปมากมายเกี่ยวกับปีดังกล่าว แต่พอเกิดการเปิดโปงครั้งใหญ่เกี่ยวกับสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศในไอร์แลนด์ รวมถึงหลายชาติในยุโรปและอเมริกา ความน่าสนใจของปีพระสงฆ์ก็ถูกกลบด้วยข่าวฉาวนี้ทันที สิ่งที่เกิดสะท้อนให้เห็นถึงคำพังเพย ปลาเน่าตัวเดียว ทำให้เหม็นเน่าทั้งข้อง เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา วาติกันได้จัดพิธีถวายพระพรคริสต์มาสแด่พระสันตะปาปา โอกาสนี้ พระสันตะปาปาทรงกล่าวถึงเรื่องสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศว่า “ปี 2010 ขณะที่พระศาสนจักรกำลังเฉลิมฉลองปีพระสงฆ์ เราก็ต้องพบกับความตกตะลึง เมื่อมีการเปิดเผยคดีสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศครั้งใหญ่ เรื่องดังกล่าว เป็นประเด็นร้ายที่พวกเราไม่คาดคิดมาก่อน อย่างไรก็ตาม เราต้องยอมรับความอัปยศนี้ ประดุจเครื่องเตือนใจถึงความจริงและเสียงเรียกให้ปรับปรุงตัวเอง มีเพียงความจริงเท่านั้นที่จะช่วยเราให้หลุดพ้นจากเรื่องร้ายได้”

หากวิเคราะห์ให้ลึกๆ พระดำรัสของพระสันตะปาปา หมายความว่า มันหมดยุคแล้วที่พระศาสนจักรจะปกปิดเรื่องร้ายๆและความอื้อฉาวของตัวเอง มันหมดยุคแล้วที่จะปิดหูปิดตาสัตบุรุษ เพราะยุคนี้ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงง่ายแค่ปลายนิ้ว หากจะใช้วิธีโบราณคือพระสงฆ์ทำผิด แล้วพระสังฆราชสั่งย้ายพระสงฆ์ไปอยู่ที่ลับหูลับตาคน พอเรื่องซาลงค่อยให้กลับมา ยุคมืดแบบนั้น มันจบลงไปแล้ว จากนี้ไป หากใครทำผิด ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทันที การปิดข่าวแบบที่ชอบทำกันมาหลายสิบปี เราเห็นกันแล้วว่า ผลลัพธ์ที่ออกมานั้น มันวิบัติขนาดไหน

... โดยส่วนตัว ผมภูมิใจที่ตัวเองเป็นสื่อรายแรกๆที่ “กล้า” รายงานข่าวสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศให้คริสตังไทยได้ทราบแบบละเอียด ทั้งนี้ เพื่อให้ทุกคนได้บริโภคข้อมูลข่าวสารอย่างถูกต้องทั้งในมุมมองของพระศาสนจักรและเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย (ผมมั่นใจว่า ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องพวกนี้ในที่สาธารณะ) แรกๆ ผมกลัวว่า การรายงานข่าวสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ต่างอะไรกับการพกระเบิดพลีชีพตัวเอง เพราะถ้าพลาด ผมอาจถูกมองในแง่ลบไปเลย (มันจะเป็นการตายที่อนาถมาก เนื่องจากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่เกิดก็ได้ ไม่น่ารนหาที่เลย) แต่กระนั้น ผมต้องขอบคุณ คุณพ่อทุกองค์ของวัดแม่พระฟาติมา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน, “ครูโน่” บ.ก.ฟาติมาสาร รวมไปถึงทีมงานเว็บไซต์อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ ที่กล้าพกระเบิดพลีชีพไปพร้อมกับผม ทุกท่านที่กล่าวมา “ใจกว้าง” ให้ผมได้รายงานเรื่องเหล่านี้แบบไม่เคยปิดกั้นแม้แต่ครั้งเดียว ผลลัพธ์ที่ออก ถือว่าผมตัดสินใจถูกต้องที่กล้ารายงานข่าวสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศให้คริสตังไทยได้รู้ เรื่องนี้ พระดำรัสพระสันตะปาปาที่นำเสนอไป คือคำตอบและเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี  

ปัญหาคนยุโรปทิ้งพระ – ผมว่า ตัวเองโชคดีที่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตในยุโรป (ตะลอน 19 ประเทศ) แบบ 1 ปีกว่าๆ และเป็นการใช้ชีวิตช่วงที่ศาสนาคริสต์ในยุโรปตกต่ำมากๆ เพราะมันทำให้ผมเข้าใจปัญหาคนยุโรปทิ้งพระและไม่มีศาสนา ได้อย่างถ่องแท้

ปีที่แล้ว คืนวันคริสต์มาส ผมได้ร่วมมิสซากับพระสันตะปาปาที่วาติกัน (ผมยืนใกล้ๆ บริเวณที่พระสันตะปาปาถูกสตรีสติไม่สมประกอบพุ่งเข้าใส่ .. หวังว่า ปีนี้ จะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้น) แต่เชื่อไหมว่า กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของสัตบุรุษที่มาร่วมพิธี เป็นชาวต่างชาติแทบทั้งสิ้น อาทิ จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, ชาติตะวันออกกลาง และชาวแอฟริกัน ชาวอิตาเลี่ยนพอมีให้เห็นบ้าง แต่น้อยกว่าที่คาดไว้เยอะ หลายคนคงคิดว่า คริสตังอิตาเลี่ยนอาจจะไปร่วมมิสซาที่อื่น นั่นก็ถูก แต่ระหว่างทางที่ผมเดินกลับจากวาติกันไปที่พัก ผมเห็นวัยรุ่นหนุ่มสาว “มั่ว เมาเละ” ตามผับ-บาร์-ดิสโก้เธค ข้างทางเต็มไปหมด มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะปาร์ตี้ แต่มันแปลกที่เรื่องนี้เกิดในคืนวันคริสต์มาสที่กรุงโรม ศูนย์กลางศาสนาคริสต์ในยุโรป เมื่อกลับมาถึงที่พัก ผมถามพวกพระสงฆ์ไทยที่อยู่ในกรุงโรมเกี่ยวกับสิ่งที่เห็น คุณพ่อท่านหนึ่งตอบแบบปลงๆว่า “พวกนี้นับถือศาสนาตามทะเบียนบ้านเท่านั้นแหละ”

ส่วนประเทศอื่นๆ อาทิ สเปน, ฝรั่งเศส และเยอรมนี ผมเคยเล่าไปว่า คนที่นั่นทิ้งศาสนา เนื่องจากซึมซับกระแสเกลียดชังพระสงฆ์เข้าไปเต็มที่ พวกเขาเกลียดพระสงฆ์ที่ใช้ชีวิตหรูหรา, ชอบยุ่งเรื่องการเมือง และมองชาวบ้านเป็นพวกไม่มีความรู้ ดังนั้น บางเมืองในสเปนและฝรั่งเศส หากพระสงฆ์ใส่ชุดเคลอร์ยี่ (ชุดพระสงฆ์) เดินตามท้องถนน ก็มีสิทธิ์ถูกชาวบ้านทำร้ายได้ (ตัวอย่างชัดๆคือแถบแคว้นซิซิเลีย ทางตอนใต้ของอิตาลี)


ป้ายโฆษณาที่เมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน "พระเจ้าไม่มีจริง สนุกกับชีวิตให้เต็มที่"

นอกจากนี้ ในอังกฤษ, สเปน, ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์ และนอร์เวย์ ก็มีโครงการต่อต้านศาสนาด้วย คนกลุ่มนี้ ซื้อสื่อตามโทรทัศน์, วิทยุ, รถเมล์ และรถไฟใต้ดิน เพื่อโฆษณาว่า “พระเจ้าไม่มีจริง ดังนั้น อย่าเครียด แต่จงสนุกกับชีวิตให้เต็มที่” ส่วนที่สเปน (ประเทศนี้หนักหน่อย) รัฐบาลบางแคว้นออกกฏหมาย ห้ามติดไม้กางเขนในที่สาธารณะ เพราะมันเป็นการ “ละเมิดเสรีภาพของคนไม่มีศาสนา” ฟังแล้ว “จั๊กกะจี้” มากๆ แต่มันขำไม่ออก เพราะในโรงพยาบาลและโรงเรียนคาทอลิก ก็ถูกห้ามติดไม้กางเขนบนฝาผนัง ทั้งที่มันเป็นสถานที่ของคาทอลิก แต่คาทอลิกกลับไม่มีสิทธิ์ทำตามใจตนเอง

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คริสตังในอิรัก – หากสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศคือเรื่องสุดช็อก การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คริสตังในอิรัก น่าจะเป็นเรื่องสุด “สยองขวัญ” ของปี 2010

รู้ไหมว่า กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของความรุนแรงที่เกิดในอิรัก เกิดกับคริสตังซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศ ผมมั่นใจว่า คนส่วนมากไม่ทราบเรื่องนี้ เพราะคงจะชินกับข่าวฆ่ากันตายรายวันในอิรัก เลยไม่สนใจอ่านรายละเอียดข่าวอีก เพราะเอียนกับเรื่องที่เกิดขึ้น

ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา “อัลกออิดะห์” กลุ่มก่อการร้ายระดับตำนาน ได้บุกถล่มอาสนวิหารคาทอลิกมารดาพระผู้ไถ่ ซึ่งเป็นอาสนวิหารแม่ในกรุงแบกแดด เมืองหลวงของอิรัก (เหมือนกับอาสนวิหารอัสสัมชัญ) การโจมตีดังกล่าวเกิดในวันอาทิตย์ขณะสัตบุรุษกำลังร่วมมิสซาสาย กลุ่มมือปืนได้เข้าไปถล่มทั้งวัดจนพังยับเยิน มีผู้เสียชีวิตจากฆาตกรรมดังกล่าว 58 ศพ และคริสตังที่รอดชีวิตก็ถูกจับไปเป็นตัวประกันอีก 135 คน (อัลกออิดะห์ เลือกแล้วว่า โจมตีระหว่างมิสซา ได้ผลมากสุด เพราะเป็นเวลาที่คริสตังมารวมตัวกันมากที่สุด แบบว่า ถล่มครั้งเดียว ฆ่าได้หลายร้อย)

สภาพอาสนวิหารมารดาพระผู้ไุถ่ หลังถูก "อัลกออิดะห์" ถล่ม

สาเหตุที่คริสตังในอิรักถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เกิดจากการที่สหรัฐอเมริกาบุกเข้าไปในอิรัก เพื่อจับกุมตัว “ซัดดัม ฮุสเซน” และพอสหรัฐฯถอนกองกำลังออกไปเมื่อไม่นานนี้ การล้างแค้นก็เกิดทันที กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในอิรักหมายหัวชาวคริสต์ทุกคน เพราะคนพวกนี้มองว่า อเมริกาเป็นคริสต์ ดังนั้น ชาวอิรักที่เป็นคริสต์ก็ต้องโดน! มุสลิมหัวรุนแรงพวกนี้ มีแนวคิดจัดตั้ง “รัฐอิสลามอิรัก” โดยรัฐดังกล่าว ผู้มีสิทธิ์อยู่อาศัยต้องเป็นชาวมุสลิมเท่านั้น คนที่นับถือศาสนาอื่นต้องฆ่าให้หมด เมื่อเป็นเช่นนี้ มหกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คริสตังในอิรัก ก็เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คืนคริสต์มาสที่ผ่านมา ที่คริสตังอิรักมารวมตัวกันในมิสซา จะไม่ถูกฆ่าอีก)

การเบียดเบียนคริสตังในจีน – หากติดตามบทความนี้เป็นประจำ น่าจะทราบดีว่า คริสตังจีนถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกคือ “รัฐศาสนจักรคาทอลิกจีน” ศาสนจักรที่รัฐบาลจีนต้องการให้แยกตัวจากการปกครองของวาติกัน ฝ่ายที่สองคือ “พระศาสนจักรใต้ดิน” ซึ่งเป็นพระศาสนจักรคาทอลิกที่ยอมรับอำนาจพระสันตะปาปา

การบวชสังฆราชที่ไม่ผ่านความเห็นชอบจากพระสันตะปาปาคือต้นเหตุของปัญหาจีน-วาติกัน

ตอนนี้ รัฐบาลจีนกำลังเดินเกมบีบให้พระศาสนจักรใต้ดินหมดสภาพ กล่าวคือ พยายามบังคับให้พระสังฆราชและคริสตังที่ขึ้นตรงกับพระสันตะปาปามาเป็นพวกเดียวกับตน หากใครไม่เข้าร่วมก็จะถือว่าฝ่าฝืนคำสั่งจากรัฐบาล นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังจัดประชุมสมัชชาพระสังฆราชคาทอลิกจีน โดยสั่งให้พระสังฆราชคาทอลิกทุกองค์ ไม่ว่าจะเป็นของรัฐศาสนจักรหรือของพระศาสนจักรใต้ดิน ต้องเข้าร่วมทุกคน ใครไม่เข้าร่วม จะโดนจับเข้าคุก ฐานขัดคำสั่งขั้นร้ายแรง สมัชชาดังกล่าว มีขึ้นเพื่อเลือกประธานสภาพระสังฆราชคาทอลิกจีน ส่วนคนที่ได้รับเลือก ก็รู้ๆกันว่า ต้องเป็นพระสังฆราชจากฝั่งรัฐบาล โดยสังฆราชคนนี้ จะรับคำสั่งจากรัฐบาล มาบริหารจัดการคริสตังในประเทศให้อยู่ในกฏระเบียบ (ในความเป็นจริงแล้ว สภาพระสังฆราชคาทอลิกของทุกประเทศ จะขึ้นตรงกับพระสันตะปาปา แต่ตอนนี้ สภาพระสังฆราชคาทอลิกจีน กลับไปขึ้นกับรัฐบาลจีน ซะงั้น)

พระสันตะปาปาทรงกลุ้มใจกับเรื่องดังกล่าวมาก พระองค์ได้แต่แถลงการณ์ตำหนิการกระทำของรัฐบาลจีนที่แทรกแซงกิจการของพระศาสนจักรคาทอลิก พระสันตะปาปาและวาติกัน รู้ดีว่า งานนี้ ทำอะไรได้ไม่มาก เพราะ “คริสตังใต้ดิน” ซึ่งขึ้นกับพระสันตะปาปา ถูกจับเป็นตัวประกันแบบอ้อมๆ ถ้าทำอะไรที่ขัดใจรัฐบาลจีน คริสตังเหล่านั้นอาจตกเป็นเหยื่อระบายอารมณ์ได้ 

... ทั้ง 4 ประเด็นที่กล่าวมา ก็เป็นเรื่องเด่นเชิงร้ายๆของพระศาสนจักรคาทอลิกในปี 2010 ปีที่ผ่านมา อาจเป็นปีทองของใครหลายคน (อาทิ ตัวผมเองที่สุขหรรษากับการตะลุยยุโรปอย่างบ้าคลั่ง) ในทางกลับกัน มันก็เป็นปีโหดร้ายของใครหลายคนด้วยเช่นกัน อาทิ สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ดังนั้น หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องร้ายๆในปี 2010 จะยุติลงแค่นี้ และอย่าได้กลับมาหลอกหลอนคนที่คิดดี-ทำดี-จิตใจดีงาม อีกเลย ...



                           MERRY CHRISTMAS & HAPPY NEW YEAR 2011



                                                        AVE   MARIA






Comments