ฟาติมาสาร : “วิกิลีกส์” แฉสิ่งที่อเมริกาซุ่มดูวาติกัน (19 ธ.ค. 2010)

สัปดาห์ที่แล้ว “วิกิลีกส์” เว็บไซต์จอมเปิดโปงความลับโลกสะเทือน ได้เปิดเผย “ข้อมูลลับ” ที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำวาติกัน ส่งกลับไปยังทำเนียบขาว เพื่อให้ข้อมูลวาติกันแก่รัฐบาลสหรัฐ งานนี้ น่าสนใจ เพราะขนาด “วาติกัน” นครรัฐเล็กๆ ที่แทบไม่มีใครให้ความสำคัญกับบทบาททางเศรษฐกิจและความมั่นคงของโลก ยังถูก “อเมริกา” ถ้ำมองจนได้ ...

"จูเลียต้่า โนเยส" ผู้บันทึกเอกสารทั้งหมด

เอกสารลับดังกล่าว บันทึกโดย “จูเลียต้า โนเยส” ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพลเรือนของสถานทูตสหรัฐฯประจำวาติกัน (รายงานระบุว่า นี่คือผู้มีอำนาจใหญ่เป็นอันดับสองของสถานทูต) โนเยส ลงบันทึกเพื่อรายงานรัฐบาลสหรัฐหลายเรื่อง งานนี้ เราจะดูทุกเรื่องที่ถูกแฉกันเลย (ถ้าคุณอ่านข่าวจากสื่ออเมริกัน จะไม่เจอข้อมูลเหล่านี้ แต่ถ้าอ่านจากสื่ออิตาเลี่ยน คุณจะพบข้อมูลการ “แฉ” มากมาย) ...

ระบบการสื่อสารภายในวาติกัน


เอกสารชิ้นแรกตีตราไว้ว่า “ลับสุดยอด” ที่มันลับสุดๆ ก็เพราะเนื้อหาภายในเป็นการเจาะระบบการสื่อสารภายในองค์กรของวาติกัน เอกสารนี้ถูกเขียนขึ้นหลังจาก สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประกาศอภัยโทษพระสังฆราช 4 องค์ของกลุ่มเลอแฟ๊บวร์ (ประกาศไปแล้ว เกิดการต่อต้าน เพราะหนึ่งในพระสังฆราชที่ได้รับการยกโทษ พูดจาดูหมิ่นชาวยิวว่า นาซีไม่ได้ฆ่าชาวยิวในสงครามโลก ครั้งที่ 2) 

เอกสารระบุว่า “ระบบสื่อสารภายในวาติกันมีช่องโหว่เยอะมาก การบริหารพระศาสนจักรแบบกระจายอำนาจจากโรมสู้ท้องถิ่นต่างๆกำลังมีปัญหา ผู้บริหารระดับสูงของพระศาสนจักรอ่อนแอในการเป็นผู้นำ พวกเขาหัวโบราณและยึดติดกับการสื่อสารรูปแบบเก่าๆ พวกเขาไม่สนใจการสื่อสารแบบใหม่ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย พระคาร์ดินัลและพระสังฆราชหลายองค์ เป็นพวกโลวเทค (LOW-TECH) พวกเขาใช้อีเมลไม่เป็นด้วยซ้ำ มีเพียง คุณพ่อเฟเดริโก้ ลอมบาร์ดี้ ผู้อำนวยการสื่อมวลชนวาติกัน เพียงคนเดียวในกลุ่มผู้บริหารพระศาสนจักร ที่เป็นพวกทันสมัยด้วยการใช้โทรศัพท์แบล็คเบอร์รี่ติดต่อสื่อสาร ยิ่งกว่านั้น หน่วยงานต่างๆในวาติกันไม่ค่อยพูดจากัน การทำงานเป็นแบบต่างคนต่างอยู่ บ่อยครั้ง เวลา วาติกัน สื่อสารอะไรออกไป มักจะล้มเหลว ด้อยประสิทธิภาพ และสังคมไม่สนใจฟัง”

“วาติกันรวมอำนาจการตัดสินใจไว้ที่พระสันตะปาปา พระองค์ชอบโน้มน้าวบรรดานักการทูตและนักข่าวให้คล้อยตามว่า สิ่งที่พระองค์ทำ เป็นสิ่งดีที่สุดสำหรับพระศาสนจักร พระสันตะปาปาไม่ได้ดูเลยว่า คนข้างนอกไม่เห็นด้วย นโยบายบางอย่างที่พระองค์คิดว่าศักดิ์สิทธิ์ มันล้าสมัยสำหรับโลกยุคนี้ ระบบการสื่อสารของที่นี่แย่มาก คุณภาพแบบนี้ มันจึงเป็นการยากที่ สหรัฐอเมริกา จะใช้ วาติกัน เป็นพันธมิตรในการดำเนินกิจกรรมต่างๆบนเวทีโลก”

มุมมองของผม – เรื่องนี้ผมไม่เถียง ระบบการสื่อสารในวาติกันแย่จริงๆ แม้แต่พระสันตะปาปายังยอมรับด้วยพระองค์เอง ตัวอย่างคลาสสิกที่ผมจำได้แม่นก็คือ ค.ศ.2002 สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ทรงสถาปนาสังฆมณฑล 4 แห่งในรัสเซีย พระองค์มอบหมายให้ “พระคาร์ดินัล วอลเตอร์ แคสเปอร์” ประธานสมณสภาส่งเสริมเอกภาพคริสตชน เป็นผู้แทนไปร่วมพิธีมิสซาสถาปนาที่กรุงมอสโก การตั้งสังฆมณฑลใหม่ 4 แห่ง ทำให้ศาสนจักร “ออโธด็อกซ์รัสเซีย” โกรธจัด เพราะเขามองว่านี่คือการแย่งศาสนิกชนกันชัดๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักเลขาธิการนครรัฐวาติกันจึงสั่งยกเลิกมิสซาสถาปนาสังฆมณฑล เพราะไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้ง ทว่า ไม่มีคนของสำนักเลขาฯโทรไปบอก พระคาร์ดินัลแคสเปอร์ ว่ามิสซาถูกยกเลิก สำนักเลขาฯคิดว่า พระคาร์ดินัลแคสเปอร์ คงจะตามข่าวอยู่แล้ว แต่ไม่เลย พระคาร์ดินัลแคสเปอร์ นั่งเครื่องบินไปถึงมอสโกและต้องพบกับความว่างเปล่า ... นี่คือหนึ่งในตัวอย่างคลาสสิกที่วาติกันมักถูกล้อเลียนว่า คนข้างในไม่ชอบพูดจากัน

ส่วนเรื่อง คุณพ่อเฟเดริโก้ ลอมบาร์ดี้ ที่ข้อมูลบอกว่าเป็นหนึ่งในผู้บริหารพระศาสนจักร อันนี้ อเมริกา “มั่ว” นะครับ คุณพ่อลอมบาร์ดี้ มีหน้าที่แค่งานสื่อและงานแถลงข่าวเท่านั้น ไม่มีส่วนในการบริหารแต่อย่างใด นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่อยากชี้ให้เห็นก็คือ “การหวังผลประโยชน์แอบแฝงของอเมริกา” นักข่าวหลายคนโจมตีว่า รัฐเล็กๆที่แทบไม่มีบทบาทสำคัญบนเวทีเศรษฐกิจโลกอย่างวาติกัน อเมริกายังจะมาหาผลประโยชน์อีก !!

ความอ่อนประสบการณ์งานทูตของ พระคาร์ดินัลแบร์โตเน่

เอกสารลับชิ้นต่อไป โนเยส ได้รายงานรัฐบาลสหรัฐเกี่ยวกับ พระคาร์ดินัล ตาร์ชิซิโอ แบร์โตเน่ เลขาธิการนครรัฐวาติกัน (ถ้าเปรียบกับเมืองไทย ตำแหน่งเป็น “นายกรัฐมนตรี”)

พระคาร์ดินัล แบร์โตเน่ (ขวา) มือขวาพระสันตะปาปา

“พระคาร์ดินัล ตาร์ชิซิโอ แบร์โตเน่ มีสไตล์การทำงานแบบ ได้ครับผม...เหมาะสมครับท่าน (พระสันตะปาปาสั่งอะไร ก็เห็นด้วยทุกอย่าง) อีกคนหนึ่งที่เป็นพวกได้ครับผม...เหมาะสมครับท่าน ก็คือ คุณพ่อเฟเดริโก้ ลอมบาร์ดี้ เวลาเกิดประเด็นร้อนที่วาติกัน พระคาร์ดินัลแบร์โตเน่จะสั่งคุณพ่อลอมบาร์ดี้ให้แถลงข่าวแทน แต่บ่อยครั้ง พ่อลอมบาร์ดี้ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแบบลึกซึ้ง ส่วนมากเป็นการให้สัมภาษณ์ตามที่เบื้องบนสั่งมากกว่า ปัจจุบัน คุณพ่อลอมบาร์ดี้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสื่อมวลชนวาติกัน, ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์วาติกัน และผู้อำนวยการสถานีวิทยุวาติกัน เรามองว่า วาติกันมอบหมายงานให้เขามากเกินไป นี่คือหนึ่งในเหตุผลทำให้ระบบการสื่อสารของวาติกันล้มเหลว”


“พระคาร์ดินัลแบร์โตเน่ มีทักษะทางการทูตที่อ่อนมาก เขาพูดได้ 3 ภาษา คือ อิตาเลี่ยน, ฝรั่งเศส และสเปน ส่วนภาษาอังกฤษ พูดได้แต่ไม่คล่องและฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง สถานทูตสหรัฐฯประจำวาติกัน ไม่ค่อยชอบพระคาร์ดินัลองค์นี้เท่าไหร่ เพราะเวลาทูตสหรัฐฯเข้าพบ พระคาร์ดินัลแบร์โตเน่จะพูดแต่ภาษาอิตาเลี่ยนเท่านั้น มันเหมือนการไม่ให้เกียรติกันเลย”  

“งานของ พระคาร์ดินัลแบร์โตเน่ จะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เขาเดินทางไปต่างประเทศบ่อยมาก แต่เพราะเขาไม่ได้จบการศึกษาด้านงานทูต ทักษะการเจรจาจึงอ่อนมาก แทนที่จะคุยเรื่องนโยบายต่างประเทศ พระคาร์ดินัลแบร์โตเน่กลับคุยแต่เรื่องศีลธรรมในจิตใจ นอกจากนี้ ทูตชาติต่างๆที่ประจำวาติกัน ก็งงมากที่พระสันตะปาปาอนุมัติให้ พระคาร์ดินัลแบร์โตเน่ ได้ทำงานต่อ เพราะตามกฏ พระคาร์ดินัลที่อายุเกิน 75 ปี ต้องเกษียณอายุ แต่พระสันตะปาปายังวางใจพระคาร์ดินัลองค์นี้ให้ทำงานต่อไป ทั้งที่เป็นตำแหน่งสำคัญรองจากพระสันตะปาปา ด้วยเหตุนี้ สหรัฐอเมริกาอาจไม่ได้ประโยชน์มากนัก หาก พระคาร์ดินัลแบร์โตเน่ ยังทำหน้าที่เลขาธิการนครรัฐ”

มุมมองของผม – เรื่องนี้พูดยาก เพราะการเลือกใครสักคนมาทำงานเป็น “มือขวา” เราต้องมั่นใจมากๆว่า คนนั้นเป็นคนที่เราวางใจได้จริงๆ พระสันตะปาปาคงวางใจพระคาร์ดินัลแบร์โตเน่มากๆ เพราะในอดีต ทั้งสองเคยทำงานร่วมกันมานานหลายปี (พระคาร์ดินัลแบร์โตเน่ คือคนไปสัมภาษณ์ “ซิสเตอร์ลูซีอา” เพื่อนำความลับข้อที่สามของฟาติมา มาแจ้งให้พระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ทรงทราบ) แต่สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ ก็คือ อาการเข้าหน้ากันไม่ติดระหว่าง พระคาร์ดินัลแบร์โตเน่ กับฝั่งสถานทูตอเมริกาประจำวาติกัน ... อเมริกาเล่นนินทาลับหลังแบบนี้ คงยากจะประสานกันให้ติด

คนวาติกันชอบใช้ภาษาระดับเทพ

สถานทูตสหรัฐฯประจำวาติกัน ยังเผยอีกด้วยว่า พวกพระคาร์ดินัลในวาติกันชอบใช้ภาษาระดับเทพในการสื่อสาร บ่อยครั้ง คนทั่วไปไม่เข้าใจ เพราะพวกเขาไม่ได้เรียนเทวศาสตร์

“เราไม่เข้าใจว่า ทำไมคนในวาติกันชอบใช้ภาษาเทวศาสตร์สื่อสารกับโลกภายนอก ตัวอย่างแปลกๆที่เกิดในวันนี้คือ ทูตอิสราเอลถูกเรียกไปยังสำนักเลขาธิการนครรัฐวาติกัน เพื่อรับจดหมาย ซึ่งคาดว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลาง แต่พอทูตอิสราเอลเปิดจดหมายและเตรียมให้สัมภาษณ์นักข่าว ปรากฏว่า เขาอ่านข้อความในจดหมายไม่รู้เรื่อง เพราะศัพท์ส่วนใหญ่เป็นศัพท์เทวศาสตร์ และการแถลงข่าวก็ต้องถูกยกเลิกภายในเวลาไม่ถึง 60 วินาที”

มุมมองของผม – อเมริกาอาจจะพูดถูก ถ้าคนในพระศาสนจักรยังสื่อสารภาษาเทวศาสตร์แบบชาวบ้านอ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ หรือพูดตรงๆก็คือพูดให้คนด้วยกันฟังยังไม่รู้เรื่อง ก็บอกได้เลยว่า ระวังหายนะกำลังจะมาเยือน

ความสัมพันธ์ระหว่างวาติกันกับประเทศที่อเมริกาเป็นศัตรู

บันทึกนี้ถูกเขียนขึ้น หลังวาติกันเป็นฮีโร่ช่วยชีวิตลูกเรืออังกฤษที่ถูกอิหร่านจับตัว งานนี้ อเมริกาจ้องตาไม่กระพริบ เพราะอเมริกากลัวว่า วาติกันกับอิหร่าน จะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งที่อาจเป็นอันตรายต่อตน

“วาติกันได้ดำเนินการขอร้องอิหร่าน ให้ปล่อยตัวลูกเรือชาวอังกฤษ จำนวน 15 คน ซึ่งถูกอิหร่านจับตัวไปเนื่องจากรุกล้ำน่านน้ำ วาติกันได้ดำเนินการช่วยเหลืออย่างเงียบๆในช่วงวิกฤติการณ์จับกุมตัว นี่คือความสามารถชั้นสูงของวาติกัน ในการเป็นตัวกลางเจรจาสันติภาพท่ามกลางปัญหาวิกฤติของนานาชาติ อย่างไรก็ตาม เราไม่ทราบแน่ชัดว่า วาติกันมีความสัมพันธ์กับอิหร่าน มากน้อยเพียงใด เรื่องนี้ สถานทูตสหรัฐฯประจำวาติกัน กำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด เช่นเดียวกัน เรากำลังจับตาและหาข้อมูลเชิงลึกถึงความสัมพันธ์ที่วาติกันมีต่อคิวบาและเวเนซูเอล่า เราขอยืนยันว่า วาติกันอาจเป็นประเทศเล็กๆ แต่วาติกันมีอำนาจลึกลับมหาศาลที่สามารถกำหนดและชี้นำทิศทางของโลก”

มุมมองของผม – ข่าวการปล่อยตัวนี้ ไม่ได้รับการนำเสนอสู่สาธารณชน ดังนั้น การที่อเมริกาล่วงรู้ข้อมูลนี้ได้ ย่อมทำให้ วาติกัน ต้องเพิ่มความระวังให้มากยิ่งขึ้น ยิ่งพิจารณาจากรายงานที่สถานทูตสหรัฐฯจับตาความสัมพันธ์วาติกัน-อิหร่าน, วาติกัน-คิวบา และ วาติกัน-เวเนซูเอล่า ด้วยแล้ว วาติกันต้องระแวงและระวังอเมริกาให้มากๆ เพราะมันหมายถึงความมั่นคงของประเทศเลยทีเดียว

พระสันตะปาปาขอร้องอเมริกา อย่าฆ่า “ซัดดัม ฮุสเซน”

ย้อนกลับไปเมื่อ ค.ศ.2001 จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาตัดสินใจส่งกองทัพเข้าไปในอิรัก เพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน เรื่องดังกล่าว สร้างความกังวลให้กับ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 เป็นอย่างมาก เพราะงานนี้ พระสันตะปาปาทรงอ่านเกมขาดว่า ถ้าเกิดอเมริกาฆ่าซัดดัม ความวุ่นวายจะตามมาอย่างแน่นอน

บันทึกลับระบุว่า “พระสันตะปาปาทรงเรียก จิม นิโคลสัน ทูตสหรัฐฯประจำวาติกัน มาเข้าพบ เพื่อขอร้องว่าไม่ให้ทำสงครามกับอิรัก พระองค์ทรงขอร้องไม่ให้สังหาร ซัดดัม ฮุสเซน เพราะมันผิดหลักมนุษยธรรม แต่ทรงอยากให้ดำเนินการกับเขาด้วยข้อตกลงทางกฏหมายจะดีกว่า เรื่องนี้ จิม นิโคลสัน ทูลพระสันตะปาปาเพื่อให้พระองค์สบายพระทัยว่า อเมริกาจะไม่ส่งทหารเข้าไปในอิรัก แต่ในความเป็นจริง อเมริกาดำเนินการเตรียมกำลังพลไว้แล้ว เรารอแค่ ประธานาธิบดีบุช สั่งการให้โจมตีเท่านั้น”

มุมมองของผม – คงไม่ต้องวิเคราะห์นะครับ เราได้เห็นกันแล้วว่า อเมริกาเป็นอย่างไร และจากนี้ไป วาติกันก็คงต้องพิจารณาทุกถ้อยคำจากอเมริกาให้มากๆ

เตรียมตัวให้ “บารัค โอบามา” ก่อนเข้าเฝ้าพระสันตะปาปา

ยังจำกันได้ไหม ผมเคยเขียนเตือนว่า “บารัค โอบามา” เป็นพวกสนับสนุนการทำแท้ง ... บันทึกลับของสถานทูตสหรัฐฯชิ้นนี้ ได้ระบุว่า ทูตสหรัฐฯต้องมาสรุปประเด็นที่ “ต้องพูด” และ “ห้ามพูด” ให้กับ โอบามา ก่อนเข้าพบพระสันตะปาปา

“10 กรกฏาคม 2009 สถานทูตสหรัฐฯประจำวาติกัน ได้เตรียมข้อมูลให้ท่านประธานาธิบดี ก่อนการเข้าเฝ้าพระสันตะปาปา เราได้ข้อสรุปว่า พระสันตะปาปาชอบมาก หากผู้นำประเทศต่างๆสัญญาจะช่วยประเทศยากจนให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น, สัญญาจะกำจัดการทำแท้งให้หมดไป และยินดีร่วมมือกับพระศาสนจักรในการพัฒนาศีลธรรมให้สังคม ส่วนเรื่องที่ห้ามพูดกับพระสันตะปาปาอย่างเด็ดขาดก็คือการทำแท้ง เพราะนี่คือการฆาตรกรรมผู้บริสุทธิ์ในมุมมองของคาทอลิก”

มุมมองของผม – ผมว่า คนที่วาติกันคงจะอึ้งกับข้อมูลชิ้นนี้ ส่วนคนของสถานทูตสหรัฐฯประจำวาติกัน ก็คงเต้นเป็นเจ้าเข้าแน่ๆ เพราะมันคือการสะท้อนให้เห็นว่า สิ่งที่อเมริกาพูดกับพระสันตะปาปา เป็นการพูดตามสคริปต์ (พูดตามบทที่ถูกเขียนไว้) แต่ลับหลังแล้ว พวกเขาอาจไม่จริงใจเหมือนอย่างที่พูดก็ได้ (เหมือนอย่างกรณี ซัดดัม ฮุสเซน)

ความสัมพันธ์ “คาทอลิก” กับ “แองกลิกัน”

เอกสารชิ้นนี้ สถานทูตสหรัฐฯประจำวาติกัน ระบุว่า ฟรานซิส แคมป์เบลล์ เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำสันตะสำนัก กระซิบกับ มิเกล ดิอาซ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำสันตะสำนักว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง ศาสนจักรแองกลิกัน กับ พระศาสนจักรคาทอลิก ดูท่าจะแย่สุดในรอบ 150 ปี นอกจากนี้ ความเกลียดชังชาวคาทอลิกในสหราชอาณาจักร ก็พุ่งสูงขี้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

บทสนทนาระหว่างทูตอเมริกากับทูตอังกฤษ มีขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2009 โดย ฟรานซิส แคมป์เบลล์ ทูตอังกฤษ ได้บอกกับ มิเกล ดิอาซ ทูตสหรัฐอเมริกา ภายหลังรับประทานอาหารร่วมกับ อาร์คบิช็อป โรแวน วิลเลี่ยมส์ ผู้นำศาสนจักรแองกลิกัน ว่า “ความสัมพันธ์ของ แองกลิกัน กับ วาติกัน กำลังเผชิญหน้ากับความตกต่ำสุดในรอบ 150 ปี เนื่องจากการตัดสินพระทัยของ พระสันตะปาปา ที่เปิดโอกาสให้ชาวแองกลิกันที่รับไม่ได้กับการมีสตรีเป็นสังฆราช สามารถเปลี่ยนมาเป็นสมาชิกนิกายคาทอลิกได้”

“นี่เป็นวิกฤติที่น่ากลัว เพราะคาทอลิกในอังกฤษมีน้อย คนส่วนมากเป็นแองกลิกัน ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจ หากมีกระแสต่อต้านความเป็นคาทอลิกเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล มันจะเกิดการแบ่งแยกและความรุนแรงกับคริสตังในอังกฤษอย่างไม่ต้องสงสัย”

มุมมองของผม – ผมไม่เชื่อว่ามันจะย่ำแย่ขนาดนั้น เพราะรอบปีที่ผ่านมา ผมบินไปกลับสวีเดน-อังกฤษ 6 ครั้ง และทุกครั้งก็ไม่เห็นจะมีอะไรร้ายแรง ไม่มีความเกลียดชังมากมาย (อาจมีบ้าง) ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่พระสันตะปาปาเสด็จเยือนอังกฤษและสกอตแลนด์ เมื่อวันที่ 16-19 กันยายน 2010 ที่ผ่านมา ทุกอย่างก็จบลงอย่างสวยงาม สมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบ็ธ ที่ 2 ก็ต้อนรับพระสันตะปาปาอย่างสมเกียรติ อย่าลืมว่า เอกสารชิ้นนี้เขียนเมื่อปี 2009 แต่ปี 2010 ความสัมพันธ์กลับมาดียิ่งๆขึ้นไปแล้ว

สงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศในไอร์แลนด์

คดีสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศในไอร์แลนด์ เป็นข่าวดังของพระศาสนจักรคาทอลิก ประจำปี 2010 ร้ายแรงถึงขั้นที่ สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ต้องลงมาสอบสวนด้วยพระองค์เอง พร้อมทั้งออกจดหมายเปิดผนึกถึงคริสตังไอร์แลนด์ เพื่อเยียวยาจิตใจทุกคนเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น

บันทึกลับชิ้นนี้ ระบุว่า “คณะกรรมการเฝ้าระวังสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ ได้ทำหนังสือถึง พระอัครสังฆราช จูเซ็ปเป้ เมอันซ่า สมณทูตวาติกันประจำไอร์แลนด์ เพื่อร้องเรียนให้มีการตรวจสอบสงฆ์ที่ก่อคดีล่วงละเมิดทางเพศ แต่ พระอัครสังฆราช เมอันซ่า ไม่มีการตอบรับคำขอร้องดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้น พระอัครสังฆราช เมอันซ่า กลับรู้สึกโกรธรัฐบาลไอร์แลนด์ที่ไม่เคารพวาติกัน ในการสอบสวนเรื่องดังกล่าวด้วยระบบของวาติกันเอง”

“ขณะที่ พระคาร์ดินัล ตาร์ชิซิโอ แบร์โตเน่ เลขาธิการนครรัฐวาติกัน ก็กระวนกระวายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น พระคาร์ดินัลได้ส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์ ใจความว่า ถ้าจะทำการสอบสวนหรือขอข้อมูล ต้องทำหนังสือถึงวาติกันอย่างเป็นทางการ”

นอกจากนี้ วิกิลีกส์ ยังเปิดเผยเรื่องเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำไอร์แลนด์ ได้เขียนบันทึกว่า “บทบาทของพระศาสนจักรคาทอลิกในไอร์แลนด์ตกต่ำลงอย่างมาก โดยครั้งสุดท้ายที่ พระศาสนจักรคาทอลิกในไอร์แลนด์ มีบทบาทในสังคม ต้องย้อนกลับไปใน ค.ศ.1979 ที่ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 เสด็จเยือนไอร์แลนด์ โดยครั้งนั้น มีผู้คนเลื่อมใสพระศาสนจักรคาทอลิกเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับอัตราการเข้าวัดทุกอาทิตย์ ก็สูงสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน”

มุมมองของผม – เรื่องนี้ไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับวาติกัน พระคาร์ดินัลแบร์โตเน่อาจต้องการปกป้องพระสงฆ์ที่ถูกกล่าวหา แต่อย่าลืมว่า การปกป้องแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับการทำลายความน่าเชื่อถือพระศาสนจักรในระยะยาว เพราะคนทั่วไปมองว่า ถ้าบริสุทธิ์ใจจริง ก็ต้องให้สอบสวน ไม่ใช่ให้ไปเข้าระบบสอบสวนของวาติกัน ซึ่งเป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะเข้าถึงข้อมูล

“ตุรกี” กับ “อียู”

เอกสารชิ้นสุดท้าย (แต่ไม่ท้ายสุด) เป็นข้อมูลที่สถานทูตสหรัฐฯประจำวาติกัน รายงานท่าทีของพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 กับการสนับสนุน ตุรกี เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู)

“เป็นที่รู้กันว่า พระคาร์ดินัล โยเซฟ รัตซิงเกอร์ (พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบัน) มีท่าทีไม่สนับสนุนตุรกีเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป เนื่องจากพระคาร์ดินัลรัตซิงเกอร์มองว่า ตุรกียังไม่สามารถการันตีเสรีภาพในการนับถือศาสนาให้กับคนในประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญด้านสิทธิมนุษยชน แต่พอได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา (เบเนดิกต์ ที่ 16) พระองค์ก็มีท่าทีเปลี่ยนไป เพราะตุรกีมีพัฒนาการไปมากเรื่องสิทธิมนุษยชน ตอนนี้ ตุรกีให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา”

... เรื่องสุดท้าย ผมไม่มีความเห็น เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และความเหมาะสม  

แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้จับตาดูก็คือ จากนี้ไป ความสัมพันธ์ระหว่างวาติกันและสหรัฐอเมริกา ลึกๆแล้วจะมีอะไรแย่ลงหรือเปล่า ถ้าเราเป็นวาติกัน เราย่อมไม่พอใจอเมริกาที่มาสอดรู้สอดเห็นเรื่องภายในถึงขนาดนี้ ล่าสุด ขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ “มิเกล ดิอาซ” ทูตสหรัฐอเมริกาประจำวาติกัน ได้ออกมาประณาม “วิกิลีกส์” ว่าเป็นบ่อนทำลายความมั่นคงและทำลายมิตรภาพที่กำลังไปได้สวยระหว่างวาติกันกับอเมริกา แต่ถามจริงๆเถอะว่า ประณามแล้วได้อะไร ในเมื่อประเทศของตัวเองทำแสบถึงขนาดนี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า วาติกันคงต้องระแวง ระวัง และไม่ไว้ใจสหรัฐอเมริกามากยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน “วิกิลีกส์” มีเอกสารลับที่จะเตรียมแฉประมาณ 250,000 ฉบับ โดยจำนวนนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ วาติกัน 800 ฉบับ “ฟาติมาสาร” วันนี้ แฉไปแล้ว 9 ฉบับ ดังนั้น อีก 791 ฉบับ คงเป็นหนังดราม่าที่ต้องติดตามกันไปยาวๆ

จูเลี่ยน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้ง "วิกิลีกส์"

สุดท้าย ข้อคิดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ “วิกิลีกส์” ก็คือ อเมริกากำลังจะสูญเสียเพื่อนทุกวงการ ผมไม่แปลกใจที่ทำไมมีคนนับล้านออกมาสนับสนุน “จูเลียน อัสซานจ์” ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ ซึ่งอเมริกาพยายามทำทุกทางเพื่อลากตัวมาดำเนินคดี ก็ดูแต่ละข้อมูลที่ วิกิลีกส์ แฉอออกมาซิ เป็นใครก็อยากจะเอาใจช่วย อยากให้เปิดโปงโฉมหน้าแท้จริงของอเมริกาออกมากันทั้งนั้น อเมริกาเป็นประเทศยุคใหม่ที่ไม่มีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม แต่พยายามตั้งตนเป็นผู้บัญชาการโลก สั่งให้ทุกชาติหันซ้ายหันขวาตามที่ตนต้องการ แรกๆทุกคนก็เทิดทูนและทำตาม เพราะเห็นว่า อเมริกาคือตำรวจโลกผู้พิทักษ์ความยุติธรรม แต่พอนานเข้า ทุกคนกลับรู้สึกว่า มันเป็นการสร้างภาพเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง


ฉะนั้น ไม่น่าแปลกใจที่ อเมริกาจะดิ้นเฮือกใหญ่ เพื่อหยุดยั้งวิกิลีกส์ให้ได้ เพราะสงครามสื่อออนไลน์ครั้งนี้ ถ้าแพ้ขึ้นมา ความเป็นมหาอำนาจที่กำลังสั่นคลอน (เพราะถูกจีนไล่จี้เข้ามา) ก็อาจพินาศไป นอกจากนี้ นานาประเทศที่เป็นพันธมิตรกันมายาวนาน อาจลงมติไม่ไว้วางใจสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป ....



                                             AVE   MARIA



Comments