ฟาติมาสาร : ฟุตบอลกับความเชื่อ ... ในพระเจ้า เราซัลโว (12 ธ.ค. 2010)
ปีที่แล้วที่ไปอิตาลี ผมได้ซื้อหนังสือภาษาอิตาเลี่ยนเล่มหนึ่งจากร้านของวาติกัน หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า “CALCIO E FEDE. IN NOME DI DIO, FATE GOL” แปลเป็นไทยประมาณว่า “ฟุตบอลกับความเชื่อ: ในพระเจ้า เราซัลโว” หนังสือเล่มนี้วางแผงปี 1999 หรือ 11 ปีที่แล้ว ในโอกาสเตรียมฉลองปีปีติมหาการุญย์ แม้มันนานจนนักเตะชื่อดังหลายคนในนั้นแขวนสตั๊ตไปแล้ว แต่เนื้อหาภายในไม่ตกยุคตามไปด้วย ผมเห็นว่ามีประโยชน์ เพราะทำให้เราเห็นมุมมองความเชื่อของสตาร์ดังเหล่านี้ ดังนั้น ขออนุญาตนำมาแบ่งปันให้อ่านกัน ...
ก่อนลงลึกถึงเนื้อหา ผมอยากบอกว่า เวลาไปเที่ยวยุโรป หากพูดถึง “ฟุตบอล” มันหมายถึงกีฬาที่เล่นข้างละ 11 คนและใช้เท้าเตะลูกกลมๆนะครับ อย่าเผลอไปเรียกว่า “ซอคเก้อร์” (SOCCER) เด็ดขาด คนยุโรปมองว่า การใช้ศัพท์ “ซอคเก้อร์” คือการไม่ให้เกียรติยุโรปและอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นมหาอำนาจลูกหนังและเป็นผู้บุกเบิกกีฬาชนิดนี้ให้กับโลกก่อนที่อเมริกาจะถือกำเนิดบนแผนที่โลก คำว่า “ฟุตบอล” ในความหมายของคนอเมริกันคือ “อเมริกันฟุตบอล” แต่อเมริกาเรียกสั้นๆว่า ฟุตบอล ส่วน ฟุตบอล (ของจริงที่ใช้เท้าเตะ) อเมริกาบัญญัติศัพท์ใหม่ว่า ซอคเก้อร์ ... นี่แหละคือที่มาที่คนยุโรปรับไม่ได้ เพราะมันหยามกันชัดๆ
เอาล่ะ กลับมาที่ “ฟุตบอลกับความเชื่อ … ในพระเจ้า เราซัลโว” ดีกว่า ...
ต่อให้คุณไม่ใช่แฟนฟุตบอล ก็น่าจะเคยได้ยินชื่อ “เสือเตี้ย” ดีเอโก้ มาราโดน่า นักเตะระดับตำนานของอาร์เจนติน่าอย่างแน่นอน มาราโดน่าบอกว่าตนอาจเป็นคาทอลิกที่ไม่เคร่งมากนัก แต่ก็มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม “ผมเชื่อพระเจ้าเสมอ ผมรู้ว่าพระองค์มีอยู่จริง ผมมั่นใจว่าเวลาที่เราทำอะไร พระเจ้าจะคอยเฝ้าดูแลเราตลอดเวลา” จบจากมาราโดน่า อีกหนึ่งดาวเตะระดับตำนานอีกคนที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินผ่านหูก็คือ “เหยินใหญ่” โรนัลโด้ อดีตกองหน้าอันดับหนึ่งของโลกจากบราซิล ตอนที่ โรนัลโด้ ให้สัมภาษณ์ เขากำลังเล่นอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน และแน่นอน ตอนนั้นเขาได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 “พระสันตะปาปาอยากให้ผมใช้ชื่อเสียงของผมให้เป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือเด็กยากจนในบราซิล ผมสัญญากับพระองค์ว่า ผมจะทำตามพระประสงค์แน่นอน”
คนต่อไป คนไทยน่าจะคุ้นหน้าเป็นอย่างดี “เฮียเถิก” สเวน โกรัน อีริคส์สัน อดีตผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ (ยุคถูกหลอก) และปัจจุบันคุมทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งมีเจ้าของทีมเป็นคนไทยเหมือนกัน อีริคส์สัน เป็นคริสต์นิกายเชิร์ชออฟสวีเดน แต่ “แนนซี่ เดลโลลิโอ” อดีตแฟนชาวอิตาเลี่ยนเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัด (ปัจจุบัน เลิกกันแล้ว) ดังนั้น ทุกวันอาทิตย์ เขาจึงต้องไปร่วมมิสซากับแฟนแบบไฟต์บังคับ อีริคส์สันเปิดเผยถึงความเชื่อของตนว่า “ผมไม่เคร่งศาสนา แต่พอคบกับแนนซี่ ผมต้องไปมิสซาพร้อมกับเธอทุกอาทิตย์ ผมยังเก็บไม้กางเขนเล็กๆซึ่งคุณพ่อที่วัดให้ไว้ในกระเป๋าสตางค์ ไม้กางเขนเตือนใจว่า เราคือมนุษย์ และเราต้องช่วยเหลือคนอื่น”
“ลิลิยอง ตูราม” อดีตปราการหลังจอมแกร่งทีมชาติฝรั่งเศส ครั้งหนึ่ง ตูรามเคยตัดสินใจจะเข้าบ้านเณรเพื่อเตรียมบวชเป็นพระสงฆ์ ตูรามเผยถึงความเชื่อของตนว่า “ผมศรัทธาในแม่พระแห่งกัวดาลูเป้ แม่พระเป็นแรงบันดาลใจและเป็นสะพานให้ผมสนิทกับพระ ทุกครั้งก่อนเริ่มเกม ผมจะทำเครื่องหมายสำคัญมหากางเขนและคุกเข่าสวดในสนามต่อหน้าแฟนบอลเสมอๆ” ทางด้าน “ดาเมียโน่ ตอมมาซี่” กองกลางหัวฟูหน้าโหดแต่ใจบุญสุดๆ ก็เป็นอีกหนึ่งนักฟุตบอลชื่อดังที่เคยเกือบเข้าบ้านเณรบวชเป็นพระสงฆ์ ก็เผยความเชื่อของตนว่า “ปัจจุบัน ผมเข้ามิสซาเช้าทุกวัน จากนั้นก็จะไปซ้อมฟุตบอล เพื่อนร่วมทีมผมหลายคน อาทิ ฟรานเชสโก้ ต็อตติ, อาเบล บัลโบ้ และ กาเบรียล บาติสตูต้า ก็เป็นคริสตังที่ศรัทธาด้วย โดยเฉพาะ บาติสตูต้า ที่ชอบชวนผมไปร่วมทำบุญกับ องค์กรคาริตัส (หน่วยงานคาทอลิกที่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก) เป็นประจำ”
มาร์เซลโล่ ซาลาส หัวหอกทีมชาติชิลี ดาวเตะที่ชอบทำท่าดีใจแบบ “มาทอดอร์ล่อวัวกระทิง” ก็แบ่งปันว่า “แฟนบอลมักจะติดตากับภาพผมฉลองการยิงประตูด้วยท่ามาทาดอร์ แต่ผมว่า ไฮไลต์ของท่านี้อยู่ที่หลังจากนั้นมากกว่า นั่นคือ ผมจะเดชะพระนามและชี้นิ้วขึ้นท้องฟ้า เพื่อขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยให้ผมทำผลงานได้ดี” นอกจากนี้ เพื่อนร่วมทีมลาซิโอ อย่าง อเลสซานโดร เนสต้า กองหลังสุดแกร่ง ก็แบ่งปันว่า “ผมมั่นใจว่าที่ผมประสบความสำเร็จในอาชีพนักฟุตบอล เพราะพระเจ้าทรงมอบพรสวรรค์ด้านนี้ให้ผม ผมไปวัดทุกวันอาทิตย์ และผมก็หวังว่า ผมจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระสันตะปาปาบ้างสักครั้งในชีวิต”
“อิล แทร็ป” โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ เทรนเนอร์ชื่อดังซึ่งปัจจุบันคุมทีมชาติไอร์แลนด์ จัดเป็นคนหนึ่งในวงการฟุตบอลที่ศรัทธาสุดในโลกก็ว่าได้ ตราปัตโตนี่แบ่งปันเรื่องของตนว่า “ผมเกิดในครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งมาก ผมมีน้องสาวเป็นซิสเตอร์ ส่วนตอนนี้ ผมเป็นฆราวาสสมาชิกคณะโอปุสเดอี เวลาตื่นนอนและก่อนเข้านอน ผมสวดภาวนาทุกวัน ทุกทีมที่ผมไปคุม ผมจะถามนักฟุตบอลเสมอว่า มีใครเป็นคาทอลิกบ้าง ถ้ามี ผมจะกระตุ้นพวกเขาให้เข้ามิสซาเป็นประจำ เพราะถ้าคุณเข้าถึงแก่นของศาสนา คุณจะรู้จักความหมายแท้จริงของการยอมรับความพ่ายแพ้แบบภาคภูมิ และไม่เหลิงกับชัยชนะจนเกินไป” (หากจำเหตุการณ์ที่ไอร์แลนด์ตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก จากการโดน “ไอ้ห้อย” เธียร์รี่ อองรี เอามือปัดลูกบอลเข้าประตูชนิดที่เรียกว่า โกงแบบถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ... ก็น่าจะเห็น ตราปัตโตนี่ เข้าไปห้ามปรามนักเตะของตนให้ยอมรับคำตัดสินของกรรมการ ผิดกับนักเตะฝรั่งเศสที่ฉลองยิ่งใหญ่กับการกระทำของอองรี ส่วนผลตามมาที่ฝรั่งเศสได้รับ มันเหมือนพระเจ้าลงโทษ ฝรั่งเศสตกรอบแรกฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้แบบอับอายสุดๆ ส่วนชีวิตนักฟุตบอลของ เธียร์รี่ อองรี ก็ดำดิ่งชนิดที่เจ้าตัวบ่นท้อแท้อย่างมาก ... ดังนั้น อย่าภูมิใจกับความชั่วของตน ไม่เชื่อถาม อองรี ได้เลย)
คนต่อไป “ดาวเตะเท้าชั่งทอง” เดเมตริโอ อัลแบร์ตินี่ อดีตจอมทัพทีมชาติอิตาลี ผู้ใช้ฝีเท้าในสนามพูดแทนปากของตน อัลแบร์ตินี่ มีพื้นเพคล้าย ตราปัตโตนี่ คือเกิดในครอบครัวคาทอลิกเคร่งครัด โดย อัลแบร์ตินี่ มีพี่ชายบวชเป็นพระสงฆ์ในอัครสังฆมณฑลมิลาน อัลแบร์ตินี่ กล่าวว่า “สิ่งสำคัญในชีวิตผมมี 3 อย่างคือพระเจ้า, ครอบครัว และฟุตบอล ผมมักใช้เวลาว่างไปช่วยงานที่โบสถ์ที่พี่ชายของผมเป็นเจ้าอาวาส ผมช่วยด้วยการนำเด็กๆไปเตะฟุตบอลออกกำลังกาย นอกจากนี้ ช่วงปิดฤดูกาล นักฟุตบอลชอบไปพักร้อนตามทะเล แต่ผมชอบไปแสวงบุญที่ฟาติมา, ลูร์ด และอิสราเอล”
ฆาเบียร์ ซาเน็ตติ กัปตันสุภาพบุรุษของอินเตอร์ มิลาน ก็เป็นอีกหนึ่งนักเตะคริสตังผู้ศรัทธา ซาเน็ตติเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนทำให้เขาเกือบต้องเลิกเล่นก่อนวัยอันควร แต่พอคุณแม่ของเขา ไปสวดภาวนาขอนักบุญปีโอ ผู้มีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ อาการบาดเจ็บของเขาก็หายอย่างน่าอัศจรรย์ ซาเน็ตติ เลยมาบอกเล่าความเชื่อของตนว่า “ผมศรัทธาคุณพ่อปีโอมากๆ ทุกครั้งที่ผมลงสนาม ผมจะนำพระธาตุของพ่อปีโอใส่ไว้ในถุงเท้าด้วย เพื่อที่ว่า พ่อปีโอจะช่วยผมให้ทำผลงานได้ดี” (เดเมี่ยน ดัฟฟ์ ปีกซ้ายของฟูแล่ม ก็ทำแบบนี้ เพราะศรัทธานักบุญปีโอ)
จบจากนักเตะคริสตังที่ศรัทธาในพระเจ้า ก็มาถึงกลุ่มนักเตะที่เป็นคริสตัง แต่ไปวัดวันอาทิตย์เป็นครั้งคราวกันบ้าง
เริ่มที่ คริสเตียน วิเอรี่ หัวหอกตีนระเบิดทีมชาติอิตาลี นักเตะเจ้าสำราญกึ่งเพลย์บอยคนนี้ เผยว่า “ผมไม่ค่อยสวดภาวนา ถ้าสวด ผมจะสวดแบบพูดขอกับพระเจ้ามากกว่า ผมไปวัดเมื่อใจร้อนรุ่มและชีวิตมีปัญหา ผมต้องการความสงบให้ชีวิตเวลาที่เป็นทุกข์เท่านั้น” เช่นเดียวกับเพื่อนซี้ปึ้กอย่าง เปาโล มัลดินี่ กองหลังกัปตันอมตะของเอซี มิลาน ในเคสของมัลดินี่ ดูร้ายแรงกว่าวิเอรี่ เพราะเขาบอกว่า “ผมเชื่อพระเจ้า ผมมั่นใจว่าพระองค์มีอยู่จริง แต่ผมไม่ไปวัดหรอก เพราะคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกมันล้าสมัยมากๆ ผมว่ามีหลายประเด็นทางสังคมที่คาทอลิกยังตอบได้ไม่ชัดเจน” ขณะที่ ดิโน่ ซอฟฟ์ ผู้รักษาประตูมือกาวทีมชาติอิตาลี ชุดแชมป์โลก 1982 ก็บอกว่า “ผมเชื่อในพระเจ้า แต่ผมไม่ใช่คริสตังที่เคร่งครัด บ่อยครั้ง ผมก็ประยุกต์ความเชื่อคาทอลิกเข้ากับความเชื่อศาสนาอื่นๆ”
ปิดท้ายกันที่ กลุ่มนักฟุตบอลที่ “เคย” เป็นคาทอลิกกันบ้าง แต่ตอนนี้เลิกเป็นคาทอลิกไปเรียบร้อย
เริ่มด้วย ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ กองกลางกัปตันทีมชาติฝรั่งเศส ชุดแชมป์โลก 1998 เดส์ชองส์เคยเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัด แต่แล้วเขาหันหลังให้พระเจ้า เพราะว่า “ผมไม่เชื่อพระเจ้าอีกต่อไป เพราะถ้าพระเจ้ามีจริง พระองค์คงไม่ทำให้น้องผมเสียชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตกหรอก ผมเป็นคนดีและรักพระมาตลอด แต่สิ่งที่เกิดกับผม แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าไม่ได้รักผมเลย”
ฟาบิโอ คันนาวาโร่ กองหลังกัปตันทีมชาติอิตาลี ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 เป็นอีกคนที่ทิ้งพระ โดยเขาบอกว่า “ผมคิดว่าศาสนาเป็นเรื่องของคนโบราณมากกว่า ศาสนาคริสต์ชอบบอกว่า พระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วไหนล่ะ นี่มันปาเข้าไป 2,000 กว่าปีแล้วนะ บางทีถ้าผมตายไป พระคริสตเจ้าอาจยังไม่เสด็จมาก็ได้ ดังนั้น อย่าไปซีเรียสกับชีวิตเลย” (ผมอ่านบทสัมภาษณ์นี้แล้ว ยิ่งทำให้ไม่ชอบ คันนาวาโร่ ยิ่งขึ้นไปอีก)
ปิดท้ายกันด้วย นักเตะที่ทุกคนก็รู้จัก นั่นคือ “โรแบร์โต้ บาจโจ้” กองหน้าจอมเทคนิคทีมชาติอิตาลี บาจโจ้เกิดในครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งครัด วัยเด็กเขาก็เป็นคริสตังที่ศรัทธาด้วย แต่แล้วเขาทิ้งพระเจ้าเพราะว่า “ผมเปลี่ยนมาเป็นพุทธศาสนิกชน เพราะศาสนาพุทธช่วยให้ใจผมสงบ, สอนให้ผมรู้จักปล่อยวาง และสอนเรื่องหลักเหตุและผลให้กับผม ตอนที่ผมบาดเจ็บหนักๆ ผมสวด สวด และสวดขอพระเยซู แต่ใจผมมันไม่สงบเลย มีแต่ความกังวลตลอดเวลา วันหนึ่ง ผมบินไปรักษาที่ญี่ปุ่น ผมได้เข้าไปที่วัดนิกายเซน มันสงบมาก ผมได้พบกับพระท่านหนึ่ง ท่านบอกให้ผมรู้จักทำสมาธิและปล่อยวาง มันได้ผลมาก ผมจึงตัดสินใจเป็นพุทธตั้งแต่นั้นมา”
“พ่อแม่ของผมโกรธผมมาก ท่านเป็นคริสตังที่เคร่งสุดๆ ท่านเสียใจมากที่ลูกชายเลิกเป็นคริสตัง พวกท่านไม่คุยกับผมเพราะเรื่องนี้นานเป็นเดือนๆ แต่ที่สุด ท่านก็ยอมรับมันได้แล้ว” โรแบร์โต้ บาจโจ้ เล่าความหลัง
... ทั้งหมดก็เป็นเรื่องราวของคริสตังในวงการฟุตบอลอิตาลี (เมื่อ 11 ปีที่แล้ว) พิจารณาดูแล้ว ความคิดทุกคนก็โอเค ยกเว้น “ฟาบิโอ คันนาวาโร่” กองหลังกัปตันทีมชาติอิตาลี ชุดแชมป์โลก 2006 คนเดียวที่ทัศนคติอันตรายเหลือเกิน ...
AVE MARIA
กาเบรียล บาติสตูต้า หัวหอกใจศรัทธาผู้ชอบทำบุญกับ "คาริตัส" |
ก่อนลงลึกถึงเนื้อหา ผมอยากบอกว่า เวลาไปเที่ยวยุโรป หากพูดถึง “ฟุตบอล” มันหมายถึงกีฬาที่เล่นข้างละ 11 คนและใช้เท้าเตะลูกกลมๆนะครับ อย่าเผลอไปเรียกว่า “ซอคเก้อร์” (SOCCER) เด็ดขาด คนยุโรปมองว่า การใช้ศัพท์ “ซอคเก้อร์” คือการไม่ให้เกียรติยุโรปและอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นมหาอำนาจลูกหนังและเป็นผู้บุกเบิกกีฬาชนิดนี้ให้กับโลกก่อนที่อเมริกาจะถือกำเนิดบนแผนที่โลก คำว่า “ฟุตบอล” ในความหมายของคนอเมริกันคือ “อเมริกันฟุตบอล” แต่อเมริกาเรียกสั้นๆว่า ฟุตบอล ส่วน ฟุตบอล (ของจริงที่ใช้เท้าเตะ) อเมริกาบัญญัติศัพท์ใหม่ว่า ซอคเก้อร์ ... นี่แหละคือที่มาที่คนยุโรปรับไม่ได้ เพราะมันหยามกันชัดๆ
เอาล่ะ กลับมาที่ “ฟุตบอลกับความเชื่อ … ในพระเจ้า เราซัลโว” ดีกว่า ...
ต่อให้คุณไม่ใช่แฟนฟุตบอล ก็น่าจะเคยได้ยินชื่อ “เสือเตี้ย” ดีเอโก้ มาราโดน่า นักเตะระดับตำนานของอาร์เจนติน่าอย่างแน่นอน มาราโดน่าบอกว่าตนอาจเป็นคาทอลิกที่ไม่เคร่งมากนัก แต่ก็มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม “ผมเชื่อพระเจ้าเสมอ ผมรู้ว่าพระองค์มีอยู่จริง ผมมั่นใจว่าเวลาที่เราทำอะไร พระเจ้าจะคอยเฝ้าดูแลเราตลอดเวลา” จบจากมาราโดน่า อีกหนึ่งดาวเตะระดับตำนานอีกคนที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินผ่านหูก็คือ “เหยินใหญ่” โรนัลโด้ อดีตกองหน้าอันดับหนึ่งของโลกจากบราซิล ตอนที่ โรนัลโด้ ให้สัมภาษณ์ เขากำลังเล่นอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน และแน่นอน ตอนนั้นเขาได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 “พระสันตะปาปาอยากให้ผมใช้ชื่อเสียงของผมให้เป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือเด็กยากจนในบราซิล ผมสัญญากับพระองค์ว่า ผมจะทำตามพระประสงค์แน่นอน”
คนต่อไป คนไทยน่าจะคุ้นหน้าเป็นอย่างดี “เฮียเถิก” สเวน โกรัน อีริคส์สัน อดีตผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ (ยุคถูกหลอก) และปัจจุบันคุมทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งมีเจ้าของทีมเป็นคนไทยเหมือนกัน อีริคส์สัน เป็นคริสต์นิกายเชิร์ชออฟสวีเดน แต่ “แนนซี่ เดลโลลิโอ” อดีตแฟนชาวอิตาเลี่ยนเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัด (ปัจจุบัน เลิกกันแล้ว) ดังนั้น ทุกวันอาทิตย์ เขาจึงต้องไปร่วมมิสซากับแฟนแบบไฟต์บังคับ อีริคส์สันเปิดเผยถึงความเชื่อของตนว่า “ผมไม่เคร่งศาสนา แต่พอคบกับแนนซี่ ผมต้องไปมิสซาพร้อมกับเธอทุกอาทิตย์ ผมยังเก็บไม้กางเขนเล็กๆซึ่งคุณพ่อที่วัดให้ไว้ในกระเป๋าสตางค์ ไม้กางเขนเตือนใจว่า เราคือมนุษย์ และเราต้องช่วยเหลือคนอื่น”
“ลิลิยอง ตูราม” อดีตปราการหลังจอมแกร่งทีมชาติฝรั่งเศส ครั้งหนึ่ง ตูรามเคยตัดสินใจจะเข้าบ้านเณรเพื่อเตรียมบวชเป็นพระสงฆ์ ตูรามเผยถึงความเชื่อของตนว่า “ผมศรัทธาในแม่พระแห่งกัวดาลูเป้ แม่พระเป็นแรงบันดาลใจและเป็นสะพานให้ผมสนิทกับพระ ทุกครั้งก่อนเริ่มเกม ผมจะทำเครื่องหมายสำคัญมหากางเขนและคุกเข่าสวดในสนามต่อหน้าแฟนบอลเสมอๆ” ทางด้าน “ดาเมียโน่ ตอมมาซี่” กองกลางหัวฟูหน้าโหดแต่ใจบุญสุดๆ ก็เป็นอีกหนึ่งนักฟุตบอลชื่อดังที่เคยเกือบเข้าบ้านเณรบวชเป็นพระสงฆ์ ก็เผยความเชื่อของตนว่า “ปัจจุบัน ผมเข้ามิสซาเช้าทุกวัน จากนั้นก็จะไปซ้อมฟุตบอล เพื่อนร่วมทีมผมหลายคน อาทิ ฟรานเชสโก้ ต็อตติ, อาเบล บัลโบ้ และ กาเบรียล บาติสตูต้า ก็เป็นคริสตังที่ศรัทธาด้วย โดยเฉพาะ บาติสตูต้า ที่ชอบชวนผมไปร่วมทำบุญกับ องค์กรคาริตัส (หน่วยงานคาทอลิกที่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก) เป็นประจำ”
"ในพระเจ้า ... เราซัลโว" มาร์เซลโล่ ซาลาส |
มาร์เซลโล่ ซาลาส หัวหอกทีมชาติชิลี ดาวเตะที่ชอบทำท่าดีใจแบบ “มาทอดอร์ล่อวัวกระทิง” ก็แบ่งปันว่า “แฟนบอลมักจะติดตากับภาพผมฉลองการยิงประตูด้วยท่ามาทาดอร์ แต่ผมว่า ไฮไลต์ของท่านี้อยู่ที่หลังจากนั้นมากกว่า นั่นคือ ผมจะเดชะพระนามและชี้นิ้วขึ้นท้องฟ้า เพื่อขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยให้ผมทำผลงานได้ดี” นอกจากนี้ เพื่อนร่วมทีมลาซิโอ อย่าง อเลสซานโดร เนสต้า กองหลังสุดแกร่ง ก็แบ่งปันว่า “ผมมั่นใจว่าที่ผมประสบความสำเร็จในอาชีพนักฟุตบอล เพราะพระเจ้าทรงมอบพรสวรรค์ด้านนี้ให้ผม ผมไปวัดทุกวันอาทิตย์ และผมก็หวังว่า ผมจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระสันตะปาปาบ้างสักครั้งในชีวิต”
โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ กุนซือสังกัดโอปุส เดอี |
“อิล แทร็ป” โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ เทรนเนอร์ชื่อดังซึ่งปัจจุบันคุมทีมชาติไอร์แลนด์ จัดเป็นคนหนึ่งในวงการฟุตบอลที่ศรัทธาสุดในโลกก็ว่าได้ ตราปัตโตนี่แบ่งปันเรื่องของตนว่า “ผมเกิดในครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งมาก ผมมีน้องสาวเป็นซิสเตอร์ ส่วนตอนนี้ ผมเป็นฆราวาสสมาชิกคณะโอปุสเดอี เวลาตื่นนอนและก่อนเข้านอน ผมสวดภาวนาทุกวัน ทุกทีมที่ผมไปคุม ผมจะถามนักฟุตบอลเสมอว่า มีใครเป็นคาทอลิกบ้าง ถ้ามี ผมจะกระตุ้นพวกเขาให้เข้ามิสซาเป็นประจำ เพราะถ้าคุณเข้าถึงแก่นของศาสนา คุณจะรู้จักความหมายแท้จริงของการยอมรับความพ่ายแพ้แบบภาคภูมิ และไม่เหลิงกับชัยชนะจนเกินไป” (หากจำเหตุการณ์ที่ไอร์แลนด์ตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก จากการโดน “ไอ้ห้อย” เธียร์รี่ อองรี เอามือปัดลูกบอลเข้าประตูชนิดที่เรียกว่า โกงแบบถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ... ก็น่าจะเห็น ตราปัตโตนี่ เข้าไปห้ามปรามนักเตะของตนให้ยอมรับคำตัดสินของกรรมการ ผิดกับนักเตะฝรั่งเศสที่ฉลองยิ่งใหญ่กับการกระทำของอองรี ส่วนผลตามมาที่ฝรั่งเศสได้รับ มันเหมือนพระเจ้าลงโทษ ฝรั่งเศสตกรอบแรกฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้แบบอับอายสุดๆ ส่วนชีวิตนักฟุตบอลของ เธียร์รี่ อองรี ก็ดำดิ่งชนิดที่เจ้าตัวบ่นท้อแท้อย่างมาก ... ดังนั้น อย่าภูมิใจกับความชั่วของตน ไม่เชื่อถาม อองรี ได้เลย)
คนต่อไป “ดาวเตะเท้าชั่งทอง” เดเมตริโอ อัลแบร์ตินี่ อดีตจอมทัพทีมชาติอิตาลี ผู้ใช้ฝีเท้าในสนามพูดแทนปากของตน อัลแบร์ตินี่ มีพื้นเพคล้าย ตราปัตโตนี่ คือเกิดในครอบครัวคาทอลิกเคร่งครัด โดย อัลแบร์ตินี่ มีพี่ชายบวชเป็นพระสงฆ์ในอัครสังฆมณฑลมิลาน อัลแบร์ตินี่ กล่าวว่า “สิ่งสำคัญในชีวิตผมมี 3 อย่างคือพระเจ้า, ครอบครัว และฟุตบอล ผมมักใช้เวลาว่างไปช่วยงานที่โบสถ์ที่พี่ชายของผมเป็นเจ้าอาวาส ผมช่วยด้วยการนำเด็กๆไปเตะฟุตบอลออกกำลังกาย นอกจากนี้ ช่วงปิดฤดูกาล นักฟุตบอลชอบไปพักร้อนตามทะเล แต่ผมชอบไปแสวงบุญที่ฟาติมา, ลูร์ด และอิสราเอล”
ฆาเบียร์ ซาเน็ตติ กัปตันสุภาพบุรุษของอินเตอร์ มิลาน ก็เป็นอีกหนึ่งนักเตะคริสตังผู้ศรัทธา ซาเน็ตติเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนทำให้เขาเกือบต้องเลิกเล่นก่อนวัยอันควร แต่พอคุณแม่ของเขา ไปสวดภาวนาขอนักบุญปีโอ ผู้มีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ อาการบาดเจ็บของเขาก็หายอย่างน่าอัศจรรย์ ซาเน็ตติ เลยมาบอกเล่าความเชื่อของตนว่า “ผมศรัทธาคุณพ่อปีโอมากๆ ทุกครั้งที่ผมลงสนาม ผมจะนำพระธาตุของพ่อปีโอใส่ไว้ในถุงเท้าด้วย เพื่อที่ว่า พ่อปีโอจะช่วยผมให้ทำผลงานได้ดี” (เดเมี่ยน ดัฟฟ์ ปีกซ้ายของฟูแล่ม ก็ทำแบบนี้ เพราะศรัทธานักบุญปีโอ)
จบจากนักเตะคริสตังที่ศรัทธาในพระเจ้า ก็มาถึงกลุ่มนักเตะที่เป็นคริสตัง แต่ไปวัดวันอาทิตย์เป็นครั้งคราวกันบ้าง
เริ่มที่ คริสเตียน วิเอรี่ หัวหอกตีนระเบิดทีมชาติอิตาลี นักเตะเจ้าสำราญกึ่งเพลย์บอยคนนี้ เผยว่า “ผมไม่ค่อยสวดภาวนา ถ้าสวด ผมจะสวดแบบพูดขอกับพระเจ้ามากกว่า ผมไปวัดเมื่อใจร้อนรุ่มและชีวิตมีปัญหา ผมต้องการความสงบให้ชีวิตเวลาที่เป็นทุกข์เท่านั้น” เช่นเดียวกับเพื่อนซี้ปึ้กอย่าง เปาโล มัลดินี่ กองหลังกัปตันอมตะของเอซี มิลาน ในเคสของมัลดินี่ ดูร้ายแรงกว่าวิเอรี่ เพราะเขาบอกว่า “ผมเชื่อพระเจ้า ผมมั่นใจว่าพระองค์มีอยู่จริง แต่ผมไม่ไปวัดหรอก เพราะคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกมันล้าสมัยมากๆ ผมว่ามีหลายประเด็นทางสังคมที่คาทอลิกยังตอบได้ไม่ชัดเจน” ขณะที่ ดิโน่ ซอฟฟ์ ผู้รักษาประตูมือกาวทีมชาติอิตาลี ชุดแชมป์โลก 1982 ก็บอกว่า “ผมเชื่อในพระเจ้า แต่ผมไม่ใช่คริสตังที่เคร่งครัด บ่อยครั้ง ผมก็ประยุกต์ความเชื่อคาทอลิกเข้ากับความเชื่อศาสนาอื่นๆ”
ปิดท้ายกันที่ กลุ่มนักฟุตบอลที่ “เคย” เป็นคาทอลิกกันบ้าง แต่ตอนนี้เลิกเป็นคาทอลิกไปเรียบร้อย
เริ่มด้วย ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ กองกลางกัปตันทีมชาติฝรั่งเศส ชุดแชมป์โลก 1998 เดส์ชองส์เคยเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัด แต่แล้วเขาหันหลังให้พระเจ้า เพราะว่า “ผมไม่เชื่อพระเจ้าอีกต่อไป เพราะถ้าพระเจ้ามีจริง พระองค์คงไม่ทำให้น้องผมเสียชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตกหรอก ผมเป็นคนดีและรักพระมาตลอด แต่สิ่งที่เกิดกับผม แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าไม่ได้รักผมเลย”
ฟาบิโอ คันนาวาโร่ เจ้าของทัศนคติอันตราย !! |
ฟาบิโอ คันนาวาโร่ กองหลังกัปตันทีมชาติอิตาลี ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 เป็นอีกคนที่ทิ้งพระ โดยเขาบอกว่า “ผมคิดว่าศาสนาเป็นเรื่องของคนโบราณมากกว่า ศาสนาคริสต์ชอบบอกว่า พระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วไหนล่ะ นี่มันปาเข้าไป 2,000 กว่าปีแล้วนะ บางทีถ้าผมตายไป พระคริสตเจ้าอาจยังไม่เสด็จมาก็ได้ ดังนั้น อย่าไปซีเรียสกับชีวิตเลย” (ผมอ่านบทสัมภาษณ์นี้แล้ว ยิ่งทำให้ไม่ชอบ คันนาวาโร่ ยิ่งขึ้นไปอีก)
ปิดท้ายกันด้วย นักเตะที่ทุกคนก็รู้จัก นั่นคือ “โรแบร์โต้ บาจโจ้” กองหน้าจอมเทคนิคทีมชาติอิตาลี บาจโจ้เกิดในครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งครัด วัยเด็กเขาก็เป็นคริสตังที่ศรัทธาด้วย แต่แล้วเขาทิ้งพระเจ้าเพราะว่า “ผมเปลี่ยนมาเป็นพุทธศาสนิกชน เพราะศาสนาพุทธช่วยให้ใจผมสงบ, สอนให้ผมรู้จักปล่อยวาง และสอนเรื่องหลักเหตุและผลให้กับผม ตอนที่ผมบาดเจ็บหนักๆ ผมสวด สวด และสวดขอพระเยซู แต่ใจผมมันไม่สงบเลย มีแต่ความกังวลตลอดเวลา วันหนึ่ง ผมบินไปรักษาที่ญี่ปุ่น ผมได้เข้าไปที่วัดนิกายเซน มันสงบมาก ผมได้พบกับพระท่านหนึ่ง ท่านบอกให้ผมรู้จักทำสมาธิและปล่อยวาง มันได้ผลมาก ผมจึงตัดสินใจเป็นพุทธตั้งแต่นั้นมา”
“พ่อแม่ของผมโกรธผมมาก ท่านเป็นคริสตังที่เคร่งสุดๆ ท่านเสียใจมากที่ลูกชายเลิกเป็นคริสตัง พวกท่านไม่คุยกับผมเพราะเรื่องนี้นานเป็นเดือนๆ แต่ที่สุด ท่านก็ยอมรับมันได้แล้ว” โรแบร์โต้ บาจโจ้ เล่าความหลัง
... ทั้งหมดก็เป็นเรื่องราวของคริสตังในวงการฟุตบอลอิตาลี (เมื่อ 11 ปีที่แล้ว) พิจารณาดูแล้ว ความคิดทุกคนก็โอเค ยกเว้น “ฟาบิโอ คันนาวาโร่” กองหลังกัปตันทีมชาติอิตาลี ชุดแชมป์โลก 2006 คนเดียวที่ทัศนคติอันตรายเหลือเกิน ...
AVE MARIA
Comments
Post a Comment