ฟาติมาสาร : โป๊ปเปิดใจ (28 พฤศจิกายน 2010)

สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวชื่อดังระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น บีบีซี, ซีเอ็นเอ็น, เอพี, เอเอฟพี และรอยเตอร์ส ต่างพร้อมใจพาดหัวข่าว การแสดงความเห็นของ สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ในประเด็นว่าการใช้ถุงยางอนามัยเป็นเรื่องพอรับได้ในบางกรณี ข่าวนี้ ทั่วโลกให้ความสนใจ ส่วนมากมีปฏิกิริยาตอบรับเชิงบวกและชื่นชมพระสันตะปาปา ผู้ทรงเปิดใจกว้างให้ศาสนาก้าวไปพร้อมกับวิทยาศาสตร์    ...




พระดำรัสดังกล่าว อยู่ในหนังสือ "LIGHT OF THE WORLD: THE POPE, THE CHURCH AND THE SIGNS OF THE TIMES" (แสงสว่างของโลก: พระสันตะปาปา พระศาสนจักร และเครื่องหมายของกาลเวลา) จริงๆแล้ว ผมอยากตั้งชื่อแบบไทยๆสไตล์ชาวบ้านว่า “โป๊ปเปิดใจ” มากกว่า เพราะเนื้อหาทั้งหมด พระสันตะปาปาทรงเปิดใจให้สัมภาษณ์กับ ดร.ปีเตอร์ ซีวัลด์ นักข่าวชาวเยอรมัน ในประเด็นอื้อฉาวที่เกิดขึ้นกับพระศาสนจักรคาทอลิก อาทิ มุมมองพระศาสนจักรต่อการใช้ถุงยางอนามัย, คดีสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ, เรื่องวุ่นๆของพระสังฆราชกลุ่มเลอแฟ๊บวร์, ความสัมพันธ์ระหว่างคาทอลิกกับอิสลาม และคาทอลิกกับออโธด็อกซ์ นอกจากนี้ พระสันตะปาปายังเปิดใจในประเด็นที่หลายคนสงสัย เช่น จะอนุมัติให้สตรีบวชเป็นสงฆ์ได้หรือไม่, พระองค์จะลาออกจากการเป็นพระสันตะปาปาหรือเปล่า รวมถึงเรื่องสุขภาพอีกด้วย

เริ่มด้วยเรื่องที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลกก็คือ “ถุงยางอนามัย” พระศาสนจักรคาทอลิกไม่สนับสนุนให้ใช้ถุงยางอนามัยเพราะมันเป็นการคุมกำเนิด “แบบฝืนธรรมชาติ” ที่สำคัญ พระศาสนจักรมีหลักคำสอน “ชายและหญิงต้องรักษาความบริสุทธิ์ของตน จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน” พูดง่ายๆก็คือพระศาสนจักรต้องการให้ชายและหญิงรักษาความบริสุทธิ์ทางกายให้กับคนที่เป็นคู่ชีวิตของตนแต่เพียงผู้เดียว

พระสันตะปาปาตรัสเรื่องนี้ว่า “พระศาสนจักรคาทอลิกไม่เคยมองว่า ถุงยางอนามัยคือคำตอบที่ถูกต้องทางศีลธรรม แต่บางกรณีก็อาจเป็นข้อยกเว้น อาทิ ผู้ขายบริการทางเพศที่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์และรับผิดชอบสิ่งที่ตนทำลงไป พ่อยังย้ำว่า การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่ง โดยใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ไม่ใช่การแสดงออกถึงความรักแท้จริง การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน เหมือนกับการเสพยาเพื่อตอบสนองความใคร่ของตนมากกว่า สำหรับคู่สามีภรรยาที่ต้องการจะคุมกำเนิด พระศาสนจักรคาทอลิกยอมรับแต่การคุมกำเนิดตามธรรมชาติเท่านั้น”

(หลังพระดำรัสเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป วาติกันได้ออกแถลงการณ์ให้ความกระจ่างอีกครั้งว่า “นี่เป็นมุมมองส่วนพระองค์ พระสันตะปาปามองว่า ควรใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคเอดส์เท่านั้น หากจะใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์จากการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ก็ลืมไปได้เลย”)

ประเด็นนี้ ผมขอให้มุมมองเพิ่มเติมเกี่ยวกับการที่พระศาสนจักรไม่สนับสนุนให้ใช้ถุงยางอนามัย แน่นอน มันต้องมีเสียงคัดค้านว่า เดี๋ยวก็ตั้งครรภ์แบบไม่พึงประสงค์ และบทสรุปก็จบด้วยการทำแท้งเหมือนที่กำลังเป็นปัญหาสังคม กระนั้น ถ้าคำสอนเรื่องรักษาความบริสุทธิ์จนถึงวันแต่งงานได้รับการปฏิบัติ ปัญหาคงไม่เกิด แม้หลายคนมองว่ามันทำได้ยาก เพราะค่านิยมสังคมยุคนี้คือการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องปกติ ... สรุปแล้ว เรื่องการใช้ถุงยางอนามัย ผมมองว่า มันขึ้นอยู่กับความเชื่อและความเคร่งครัดทางศาสนาของแต่ละคน ถ้าคาทอลิกที่เคร่งและปฏิบัติตามคำสอน ก็จะน้อมรับคำสอนของพระศาสนจักรด้วยความเต็มใจ (กรณีนี้สามารถรวมโปรเตสตันท์เข้าไปด้วย ตัวอย่างเช่น “กาก้า” นักฟุตบอลชื่อดังที่เคยประกาศไว้ว่า ตนภูมิใจมากที่รักษาความบริสุทธิ์ได้จนถึงวันแต่งงาน)

ประเด็นต่อมาคือคดีสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ แม้ปัญหาจะเกิดจากสงฆ์บางองค์ที่ไม่เดินตามพระเยซูคริสต์ แต่มันก็ส่งผลกระทบต่อสงฆ์หมู่มากซึ่งเป็นคนดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พระสันตะปาปาทรงเปิดใจถึงเรื่องนี้ว่า “คดีสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ จัดเป็นวิกฤติร้ายแรงสุดก็ว่าได้ เรื่องที่เกิดทำให้พ่อรู้สึกเหมือนกับว่า พ่อกำลังยืนอยู่ในวินาทีที่ภูเขาไฟพิโรธอย่างบ้าคลั่ง พอมันระเบิดเสร็จ ลาวาและเถ้าถ่านสกปรกก็ปกคลุมต้นไม้ใบหญ้าที่สวยงามให้ดูเปื้อนมลทินไปในพริบตา เรื่องนี้ทำให้ความเป็นสงฆ์ของพระคริสตเจ้าต้องพบกับความอัปยศอย่างมาก พ่อเข้าใจเลยว่า ทำไมผู้ที่ตกเป็นเหยื่อสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศจึงหันหลังให้พระศาสนจักร มันเป็นเรื่องยากจะทำให้พวกเขากลับมาเชื่อโดยสมัครใจว่า พระศาสนจักรคือบ่อเกิดแห่งความดีงาม เรื่องนี้พ่อไม่มีข้อโต้แย้ง พ่อเข้าใจหัวอกของพวกเขาเป็นอย่างดี”

จากนั้น ดร.ปีเตอร์ ซีวัลด์ ได้ทูลถามพระสันตะปาปาว่า รู้สึกผิดหวังหรือไม่ที่สื่อมวลชนทั่วโลกพยายามหาประเด็นสงฆ์คาทอลิกล่วงละเมิดทางเพศ มานำเสนอผู้ชมแบบชนิดที่ “กัดไม่ปล่อย” หรือบางสำนักต้องใช้คำว่า “จ้องจับผิด” ก็ว่าได้

พระสันตะปาปาทรงเปิดใจอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ พ่อไม่ผิดหวังและไม่โกรธพวกเขา พ่อไม่เคยมองว่าพวกเขาจ้องทำลายความน่าเชื่อถือของพระศาสนจักร ตรงกันข้าม พระศาสนจักรคาทอลิกต้องขอบคุณสื่อมวลชนที่นำเรื่องนี้มาตีแผ่ สื่อมวลชนทำถูกแล้วที่รายงานข่าวตามความเป็นจริง มันคงเป็นเรื่องแย่ ถ้าภายในพระศาสนจักรมีปีศาจ แต่สื่อมวลชนกลับนำเสนอข่าวว่า พระศาสนจักรไม่มีปีศาจอยู่ในนั้น ถึงตอนนี้ มันควรจะเป็นหน้าที่ของกรุงโรม (วาติกัน) ในการแจ้งกับประเทศต่างๆอย่างตรงไปตรงมาว่า ลองดูซิว่า ถ้าประเทศของท่านกำลังประสบปัญหาเดียวกัน (สงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ) ก็ขอให้แจ้งมา แล้วเราจะไปจัดการปัญหานี้ด้วยกัน” 

ดร.ซีวัลด์ ยังคงถามพระสันตะปาปาเกี่ยวกับกรณีสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ โดยทูลถามกรณีของ “คุณพ่อมาร์เซียล มาเซียล” ผู้ก่อตั้งคณะทหารของพระคริสตเจ้า (THE LEGION OF CHRIST) โดยคุณพ่อองค์นี้เป็นนักพัฒนากระแสเรียกและเป็นฮีโร่ของชาวเม็กซิกัน ทว่า คุณพ่อถูกจับได้ว่าก่อคดีล่วงละเมิดทางเพศต่อเยาวชนหลายครั้ง (รวมทั้งเคยเข้าบำบัดการติดสารเสพติดจำพวกมอร์ฟีน) แม้ว่า คุณพ่อมาเซียลจะสิ้นใจไปเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2008 แต่การสอบสวนคดีของท่านยังคงดำเนินต่อไป เพราะถือเป็นความผิดร้ายแรงกับกรณีสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ

พระสันตะปาปาทรงกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “โชคไม่ดีที่พระศาสนจักรแก้ปัญหานี้ช้ามากๆ ทุกวันนี้ พ่อยังไม่เข้าใจบุคลิกอันลึกลับของคุณพ่อมาเซียล มันเป็นบุคลิกแบบ 2 คนในร่างเดียว กล่าวคือ ด้านหนึ่งเป็นสงฆ์ที่ประพฤติผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรง แต่อีกด้านหนึ่ง คุณพ่อมาเซียล ได้ก่อตั้งคณะนักบวชที่ร้อนรนในการรับใช้พระเจ้า นี่เป็นภาพของประกาศกที่ประพฤติผิดร้ายแรง แต่กระนั้น เขาก็สามารถสร้างผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ให้กับพระศาสนจักร”

ดร.ซีวัลด์ ทูลถามพระสันตะปาปาต่อไปว่า เวลาเผชิญเรื่องร้ายแรงอย่างสงฆ์ล่วงละเมิดทางเพศ รวมทั้งถูกทั่วโลกด่าว่าแบบไม่ปราณี พระองค์เคยท้อใจจนคิดจะลาออกจากการทำหน้าที่พระสันตะปาปาบ้างไหม ... พระสันตะปาปาตรัสตอบว่า “เมื่อภยันตรายร้ายแรงย่างกรายเข้ามา เราต้องอย่าหนี ด้วยเหตุนี้ พ่อไม่เคยคิดจะลาออกเพราะปัญหาที่ว่า ปัญหาเดียวที่พ่อจะพิจารณาเรื่องลาออกจากการเป็นพระสันตะปาปา ก็คือ ปัญหาสุขภาพด้านร่างกายและจิตใจ สิ่งนี้ต่างหากที่จะเป็นสิทธิอันชอบธรรมให้พระสันตะปาปาต้องลาออก”

ดร.ซีวัลด์ จึงทูลพระสันตะปาปาต่อไปว่า ดูมุมไหนพระองค์ก็แข็งแรงมากเมื่อเทียบกับพระชนมายุ 83 ชันษา ก่อนจะกราบทูลแบบติดตลกว่า “พระชนมายุขนาดนี้ แล้วยังแข็งแรงถึงเพียงนี้ แสดงว่า พระองค์ต้องออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานตามที่แพทย์แนะนำแน่ๆ พระวรกายของพระองค์แข็งแรงมากถึงขนาดเป็น “ผู้ฝึกสอนฟิตเนส” ได้สบายๆ” 

พระสันตะปาปาทรงหัวเราะด้วยความชอบพระทัย ก่อนจะตรัสตอบว่า “ไม่หรอก คนที่อายุ 83 ปีและยังต้องมาปฏิบัติงานพบปะผู้นำประเทศและเดินทางเยือนประเทศต่างๆ ถือว่าหนักมากๆ บางวันพ่อต้องออมแรงด้วยการขอให้ยกเลิกการพบปะผู้นำที่มาเข้าพบ ส่วนเรื่องจักรยาน พ่อไม่ได้ปั่นแล้ว พ่อเปลี่ยนมาพักผ่อนด้วยการสวดภาวนา อ่านหนังสือ และนั่งดูภาพยนตร์แนวศาสนา กระนั้น บางครั้ง พ่อก็สังเกตเหมือนกันว่า เรี่ยวแรงที่เคยมี มันหายไปทีละนิด เอาเป็นว่า ตอนนี้ พ่อมอบความวางใจไว้กับพระอย่างเดียว พระเจ้าจะประทานพละกำลังตามสมควรให้กับพ่อในการปฏิบัติงานให้พระองค์”

จากนั้น ดร.ซีวัลด์ ได้ทูลถามพระสันตะปาปาในประเด็นบวชสตรีเป็นสงฆ์ หลายคนเชื่อว่า นี่คือคำตอบสุดท้ายของการแก้ปัญหาขาดแคลนพระสงฆ์ พระสันตะปาปาตรัสตอบว่า “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การตอบสนองข้อเรียกร้องจากสัตบุรุษ แต่ปัญหาแท้จริงอยู่ที่ พระศาสนจักรมีอำนาจบวชสตรีเป็นสงฆ์ได้จริงๆหรือ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 เคยออกเอกสารเกี่ยวกับการบวชเป็นพระสงฆ์ในปี 1994 พระองค์ทรงเน้นย้ำอย่างชัดเจนว่า พระศาสนจักรไม่มีอำนาจไม่ว่าจะกรณีใดก็ตามที่จะทำการบวชสตรีเป็นสงฆ์ ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ ก็ดูตอนที่พระเยซูทรงเลือกอัครสาวก 12 องค์ พระองค์ทรงเลือกสาวกเป็นผู้ชายทั้งหมด ถ้าเราบวชสตรีเป็นสงฆ์ ปัญหาตามมาก็คือ เราได้นบนอบเชื่อฟังต่อสิ่งที่พระเยซูปฏิบัติหรือไม่ นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เราต้องคิดให้ดีก่อนจะทำอะไรลงไป ศักดิ์สงฆ์ไม่ใช่การเป็นผู้นำ แต่ศักดิ์สงฆ์คือการเป็นผู้รับใช้ แม้เราจะเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก (ขาดแคลนพระสงฆ์) พระศาสนจักรก็ต้องดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าต่อไป ไม่ใช่ทำอะไรตามใจของตัวเอง”

ในส่วนของการอภัยโทษให้พระสังฆราชกลุ่มเลอแฟ๊บวร์ซึ่งถูกขับไล่ออกจากพระศาสนจักร หนึ่งในนั้นมี “พระสังฆราช ริชาร์ด วิลเลียมสัน” ผู้ไม่ยอมรับว่าลัทธินาซีเป็นผู้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว สมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 เรื่องดังกล่าวสร้างความร้าวฉานระหว่างพระศาสนจักรคาทอลิกกับชาวยิวเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ช่วงหนึ่ง ยิวประกาศตัดสัมพันธ์คาทอลิกเลยทีเดียว (แต่ต่อมา พระศาสนจักรคาทอลิกทำทุกอย่างเพื่อขอฟื้นฟูความสัมพันธ์ จนประสบผลสำเร็จ)

พระสันตะปาปาทรงกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “พ่อย้ำหลายครั้ง วาติกันไม่ทราบมาก่อนว่า พระสังฆราชวิลเลียมสัน ออกมาให้สัมภาษณ์แบบนี้ ถ้าพ่อรู้เรื่องก่อน พ่อจะไม่ประกาศอภัยโทษอย่างแน่นอน”

อีกหนึ่งเรื่องที่ชาวยิวไม่พอใจคาทอลิกก็คือการประกาศให้ "สมเด็จพระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 12" เป็น “ผู้น่าเคารพ” ซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายก่อนจะเป็นบุญราศี ชาวยิวมองว่า พระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 12 มีท่าทีเมินเฉยไม่ช่วยเหลือพวกเขาจากการถูก ลัทธินาซี ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

พระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 มีคำตอบให้กับคำกล่าวหานี้ว่า “ในความเป็นจริงแล้ว พระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 12 คือคนช่วยชีวิตชาวยิวมากสุดในสงครามโลก ครั้งที่ 2 พระองค์ทรงช่วยชาวยิวด้วยการสั่งให้เปิดประตูโบสถ์และโรงเรียนทุกแห่งในกรุงโรม เพื่อรับชาวยิวเข้ามาหลบภัย พระองค์ต้องช่วยชาวยิวแบบเงียบๆ เพราะถ้าทำแบบชัดแจ้ง กองทัพนาซีก็จะมาทำลายวาติกันอย่างแน่นอน”

ในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างคาทอลิกกับอิสลาม และคาทอลิกกับออโธด็อกซ์ พระสันตะปาปาทรงเปิดใจว่า “กับอิสลาม มิตรภาพระหว่างเราก้าวหน้าไปมาก ส่วนออโธด็อกซ์ พ่อคิดว่า พ่อจะมีโอกาสได้พบกับ พระอัยกาคีริล ประมุขพระศาสนจักรออโธด็อกซ์แห่งมอสโก ในเร็วๆนี้” 

สุดท้าย พระสันตะปาปาทรงแสดงความเห็นในประเด็นที่หลายประเทศในยุโรปสั่งห้ามไม่ให้ติดไม้กางเขนไว้ในห้องเรียนและสถานที่สาธารณะ รวมไปถึงสั่งห้ามไม่ให้สอนวิชาศาสนาในห้องเรียน เพราะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

“น่าเศร้าที่พันธกิจของพระศาสนจักรถูกต่อต้านด้วยวิธีการรูปแบบใหม่ นั่นคือ การห้ามประกาศหรือปฏิบัติศาสนกิจในที่สาธารณะ ผู้คนจำนวนมากพยายามกดดันพระศาสนจักรให้เปลี่ยนจุดยืนเรื่องรักร่วมเพศ การทำแท้ง และการบวชสตรีเป็นสงฆ์ อย่างไรก็ตาม พระศาสนจักรคาทอลิกทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะถ้าทำตามนั้น พระศาสนจักรคาทอลิกจะดำเนินชีวิต โดยปราศจากเอกลักษณ์ที่ได้รับมอบจากพระเยซูคริสตเจ้า อย่างแน่นอน”



                                     AVE   MARIA




Comments