ฟาติมาสาร : อำลายุโรป ด้วยการไป “ฟาติมา โปรตุเกส” (ประจำวันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม 2010)


หลังออกจากเมืองไทยมาเรียนหนังสือที่ยุโรปเป็นเวลา 1 ปี ในที่สุด หนังสือเล่มนี้ก็กำลังจะมาถึงตอนจบอย่างเป็นทางการ   .....




1 ปี 2 เดือน กับการเดินทางท่องยุโรปทั้งหมด 19 ประเทศ อันประกอบไปด้วย สวีเดน (ประเทศที่ผมไปเรียน), นอร์เวย์, ฟินแลนด์, เดนมาร์ก, เอสโตเนีย, อิตาลี (6 ครั้ง), อังกฤษ (4 ครั้ง), สกอตแลนด์, สเปน (2 ครั้ง), เนเธอร์แลนด์ (4 ครั้ง), โปแลนด์, สาธารณรัฐเช็ก, สโลวาเกีย, ฮังการี, ออสเตรีย, เยอรมนี, รัสเซีย, เบลเยียม และโปรตุเกส ... ผมว่า ผมใช้ชีวิตในรอบปีที่ผ่านมา “คุ้มแล้ว”

การเดินทางทั่วยุโรปทำให้ผมได้เห็นอะไรหลายอย่าง แต่ก่อนผมสงสัยว่าคนยุโรปจำนวนมากละทิ้งศาสนาเหมือนที่รายงานข่าวนำเสนอจริงหรือ ผมเคยชวนเพื่อนชาวเยอรมัน, ฝรั่งเศส, สเปน, อเมริกัน, อิตาลี และฮอลแลนด์ที่อยู่หอพักเดียวกันไปมิสซาวันอาทิตย์ แต่ได้คำตอบกลับมาเหมือนกันหมดว่า “ตอนเด็กๆก็ไปร่วมมิสซานะ แต่พอโตขึ้น เราไม่ไปแล้ว เพราะชีวิตเป็นของเรา ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราเลือก ไม่ใช่ให้พระเจ้ามากำหนดทางเดินชีวิต” (อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของผม ยังพูดแบบนี้เลย) สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ผมรู้ว่ารายงานข่าวชาวยุโรปทิ้งศาสนาเป็นเรื่องจริง และมันทำให้ผมเข้ายิ่งขึ้นไปอีกกับสิ่งที่ พระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ตรัสว่า “อันตรายกำลังเกิดกับยุโรป เพราะยุโรปพยายามกำจัดพระเจ้าออกจากการดำเนินชีวิต”

นอกจากนี้ ผมยังห็น “กระแสต่อต้านและเกลียดชังสงฆ์คาทอลิก” ที่มีมากในยุโรป อาทิ คนฝรั่งเศสถูกปลูกฝังกระแสเกลียดพระสงฆ์มาตั้งแต่ยุคปฏิวัติ เพื่อนชาวฝรั่งเศสเล่าให้ผมฟังว่า สมัยก่อนพระสงฆ์อยู่สังคมชั้นสูง มีอาหารการกินเพียบพร้อม แต่คนชั้นกลางและชั้นล่างต้องหาเช้ากินค่ำ  นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลให้คนฝรั่งเศสลุกขึ้นมาปฏิวัติประเทศ แนวคิดนี้ยังพบได้ที่อิตาลี เพื่อนชาวอิตาเลี่ยนหลายคนพยายามเล่าเรื่องให้ผมคล้อยตามว่า พวกคาร์ดินัลและสังฆราชมีที่พักหรูหราและอาหารดีๆกิน แต่สัตบุรุษทั่วไปต้องกินอยู่อย่างประหยัด นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลให้คริสตังอิตาเลี่ยนหลายคนหมดศรัทธาในศาสนา พวกเขาย้ำว่าสมณะเหล่านี้คอยแย่งชิงอำนาจและไขว่คว้าหาตำแหน่งกัน ผมได้แต่คิดตาม แต่มุมมองของผมก็คือของแบบนี้พูดยาก เพราะเราไม่รู้เรื่องจริงเป็นอย่างไร เอาเป็นว่า ผมขอยืนข้างสัตบุรุษที่ประพฤติตนเหมือน “หญิงม่ายที่ทำบุญด้วยเงินทั้งหมดที่มี” มากกว่าจะเข้าข้าง “ธรรมาจารย์ที่ชอบสวมเสื้อยาวเดินไปมา พอใจให้คนทั้งหลายคำนับตามลานสาธารณะ” ก็แล้วกัน

หลายคนคงอยากรู้ว่า การเดินทางไปยุโรปครั้งไหน น่าประทับใจที่สุด ... มิสซาคริสต์มาสกับพระสันตะปาปา (ได้เห็นพระสันตะปาปาในระยะ 5 เมตร และยืนใกล้จุดที่พระสันตะปาปาโดนสตรีที่ป่วยทางจิตชนล้ม), มิสซาสถาปนานักบุญใหม่กับพระสันตะปาปา, เยี่ยมบ้านเกิดพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 หรือจะเป็นการดูแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบติดขอบสนาม ที่กล่าวมาทั้งหมดน่าประทับใจก็จริง แต่คงต้องหลีกทางให้ “การเดินทางหฤโหดช่วงภูเขาไฟในไอซ์แลนด์ระเบิด” ครั้งนั้น เป็นอะไรที่ผมจะไม่มีวันลืมเลยจริงๆ ผมเดินทางจากสโลวาเกียไล่ขึ้นไปสวีเดน โดยทางรถไฟและเรือ ใช้เวลาทั้งสิ้น 2 วันเต็มๆ หมดเงินกับค่ารถไฟไปเยอะพอสมควร แต่บอกได้คำเดียวว่า เป็นประสบการณ์ที่สนุกและคงไม่เกิดขึ้นบ่อยๆ (แต่ถ้าให้ทำอีก ก็ไม่ไหว!!)

อย่างที่จั่วหัวว่า ผมจะอำลายุโรปด้วยการไปแสวงบุญที่ “ฟาติมา ประเทศโปรตุเกส” ในฐานะที่เป็นลูกวัดแม่พระฟาติมา ผมจึงมีความร้อนรนเป็นพิเศษว่า ก่อนกลับเมืองไทย ผมต้องไปภาวนา ณ จุดที่แม่พระประจักษ์ที่ฟาติมาให้ได้ คนที่เคยไปมาแล้ว น่าจะทราบดีว่า การเดินทางไปฟาติมายากลำบากเพียงใด ยิ่งผมไปแบบพวกลุยเองไม่ซื้อทัวร์ คงจะลำบากมากขึ้นไปอีก กระนั้น ผมมั่นใจว่า มันจะเป็นทริปที่คุ้มค่าแก่การจดจำอย่างมาก เพราะผมจะได้ไปยืนในจุดที่ประวัติศาสตร์โลกจารึกถึงการประจักษ์ของแม่พระ รวมทั้งนี่คือสถานที่ที่แม่พระบอก “ความลับ 3 ประการ” ให้กับโลก นั่นคือ 1) นิมิตของนรก, 2) การสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 การเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 และรัสเซียกลับใจ 3) การเบียดเบียนพระศาสนจักรในศตวรรษที่ 20 และการลอบปลงพระชนม์ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2

ขณะที่ท่านอ่านบทความนี้ ผมก็ใกล้จะออกเดินทางแล้ว ผมเริ่มทริปจากเมืองเบรเมน ประเทศเยอรมนี แล้วต่อไปยังโปรตุเกส (ลิสบอน และ ฟาติมา) จากนั้น บินข้ามไปสเปน (มาดริด) แล้วมาจบที่อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ตอนแรก ผมเคยบอกไว้ว่า จะกลับไปเยือน “เมืองลูร์ด ประเทศฝรั่งเศส” อีกครั้ง แต่เนื่องจากตั๋วเครื่องบินแพงเกินรับไหว ก็เลยต้องอดไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ (ส่วนการไปมาดริด นอกจากจะไปสำรวจเส้นทางงานเยาวชนโลกแล้ว ผมได้ซื้อตั๋วเพื่อดู “เรอัล มาดริด พบ ราซิ่ง ซานตาเดร์” ที่สนามซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ไว้ด้วย ... จะสนุกหรือไม่ กลับเมืองไทยจะไว้ค่อยแบ่งปันกัน)

ทั้งหมดคือประสบการณ์ล้ำค่าที่ผมได้รับในรอบปีที่ผ่านมา ผมเริ่มการเดินทางด้วยการไปร่วมมิสซาสถาปนานักบุญกับพระสันตะปาปาที่วาติกัน ส่วนตอนจบ ผมเลือกอำลายุโรปด้วยการไปแสวงบุญฟาติมา  การได้มาใช้ชีวิตในยุโรปถือเป็นพระพรที่พระจัดให้แบบล้วนๆ (เพื่อนผมอาจบอกว่า เรากำหนดชีวิตเองได้ แต่ผมว่า สิ่งที่ผมได้รับ พระจัดให้แน่ๆ) นอกจากนี้ ผมต้องขอขอบคุณทุกกำลังใจและคำภาวนาจากเมืองไทย ผมสัญญาว่าจะไปสวดให้ชาว “ฟาติมา ดินแดง” ระหว่างการไปเยือน “ฟาติมา โปรตุเกส” อย่างแน่นอน

ลาก่อน ยุโรป ... แล้วพบกันที่เมืองไทย ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนครับ




                                                              AVE   MARIA
 




ผมกับ พระอัครสังฆราช เคลาดิโอ เชลลี่ ประธานสมณสภาสื่อสารสังคม


ห้องตัดต่อคลิปวาติกันบนยูทูบ (ที่เราดูข่าวพระสันตะปาปา)

ผมกับ มองซินญอร์ พอล ไทก์ เลขาธิการสมณสภาสื่อสารสังคม

ผมกับ มองซินญอร์ วิษณุ ธัญญอนันต์ ปลัดสมณสภาเสวนาระหว่างศาสนา

ครั้งหนึ่งในชีวิต "เวสต์แฮม vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"

คืนคริสต์มาสกับพระสันตะปาปา


มหาวิหารพระโลหิตศักดิ์สิทธิ์ รัสเซีย (โบสถ์หัวหอม .. ไม่คิดว่า ชีวิตนี้จะได้มาเยือน)

เยี่ยมบ้านเกิด สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2

ปิดท้ายกันที่นี่ สักการะสถานแม่พระฟาติมา โปรตุเกส




Comments