โป๊ปเลโอ สอน วิธีที่เรามองคนอื่นคือตัวตัดสินว่าเราเป็นเช่นไร ดังนั้น อย่ามองแล้วเดินผ่านเลยไป

  • โป๊ป เลโอ ที่ 14 ทรงใช้เรื่องชาวสะมาเรียใจดี มาสอนว่า วิธีที่เรามองคนอื่นคือสิ่งที่สำคัญ เพราะมันแสดงให้เห็นสิ่งที่อยู่ในใจของเรา
  • ทรงเตือน การบอกว่าตัวเองมีศาสนาไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าคนนั้นมีความเมตตาในจิตใจ ความเมตตาไม่ใช่เรื่องของศาสนา แต่เป็นเรื่องของความเป็นมนุษย์ 
  • ทรงตั้งคำถามให้ทุกคนหาคำตอบ “เราจะทำอย่างไรเมื่อพบเห็นคนที่ทุกข์ทรมานในปัจจุบัน” แต่ถ้าเป็นศิษย์พระเยซู พระองค์จะบอกเราว่า “ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกับชาวสะมาเรียเถิด”






ช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมา พระสันตะปาปา เลโอ ที่ 14 ทรงเป็นประธานในมิสซาที่วัดนักบุญโธมัสแห่งวิลลาโนว่า คาสเตล กันดอลโฟ


พระวรสารวันนี้เป็นเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี ซึ่ง Pope Report สรุปใจความสำคัญสิ่งที่พระสันตะปาปาเทศน์มาให้ดังนี้


1) เรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดีท้าทายมโนธรรมของเราทุกคน


พระสันตะปาปาเริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า “ในพระวรสารวันอาทิตย์นี้ เราได้ยินหนึ่งในอุปมาที่สวยงามและเปี่ยมด้วยอารมณ์ที่สุดของพระเยซู นั่นคืออุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดี (ลูกา 10:25-37) อุปมานี้ท้าทายให้เราคิดเกี่ยวกับชีวิตของเราเองอย่างต่อเนื่อง มันรบกวนมโนธรรมที่หลับใหลในใจเรา และเตือนเราเกี่ยวกับความเสี่ยงของศรัทธาที่พอใจกับการปฏิบัติตามกฎหมายภายนอก แต่ไม่สามารถรู้สึกและปฏิบัติด้วยความเมตตาเหมือนพระเจ้า”


2) วิธีการมองที่แตกต่างกัน


พระสันตะปาปา เน้นว่า “อุปมานี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเมตตาจริงๆ และวิธีที่เรามองคนอื่นคือสิ่งสำคัญ เพราะมันแสดงให้เห็นสิ่งที่อยู่ในใจของเรา”


พระองค์ทรงแยกแยะระหว่างการมองแบบต่างๆ ว่า “เราสามารถมองแล้วเดินผ่านไป หรือเราสามารถมองแล้วเกิดความเมตตา มีการมองแบบผิวเผินและรีบร้อน นี่เป็นวิธีการมองในขณะที่แสร้งทำเป็นไม่เห็น เราสามารถมองโดยไม่ถูกสัมผัสหรือท้าทายจากสิ่งที่เห็น แต่ก็มีการมองด้วยดวงตาแห่งหัวใจ มองอย่างใกล้ชิด เข้าใจผู้อื่น แบ่งปันประสบการณ์ของเขา ปล่อยให้ตนเองถูกสัมผัสและท้าทาย”

3) ความเมตตาเป็นเรื่องของความเป็นมนุษย์


พระสันตะปาปา ชี้ให้เห็นว่า “ในอุปมานี้ สมณะและชาวเลวีที่เราคิดว่าน่าจะหยุดและดูแลคนที่ได้รับบาดเจ็บ กลับเลือกที่จะเพิกเฉยต่อเขา สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า การปฏิบัติศาสนาเพียงอย่างเดียวไม่ได้นำไปสู่ความเมตตาโดยอัตโนมัติ”


พระองค์ทรงย้ำว่า “ก่อนที่จะเป็นเรื่องของศาสนา ความเมตตาเป็นเรื่องของความเป็นมนุษย์ ก่อนที่จะเป็นผู้เชื่อ เราถูกเรียกให้เป็นมนุษย์”


4) พระเยซูคือชาวสะมาเรียใจดีที่แท้จริง


พระสันตะปาปา อธิบายอีกว่า “ชาวสะมาเรียผู้ใจดีเป็นสัญลักษณ์ของพระเยซู พระองค์ทรงมองมนุษยชาติด้วยความเมตตาและไม่ได้เดินผ่านไป … ในยุคของเราเช่นกัน เราต้องเผชิญหน้ากับความมืดมิดของความชั่วร้าย ความทุกข์ ความยากจน และปริศนาของความตาย แต่พระเจ้ามองเราด้วยความเมตตา พระองค์ต้องการเดินทางในเส้นทางเดียวกันกับเราและลงมาอยู่ท่ามกลางเรา”


5) การเรียนรู้ที่จะเป็นเพื่อนมนุษย์ ด้วยการช่วยเหลือคนอื่น


ตอนท้าย พระสันตะปาปาตั้งคำถามว่า “ถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างไร เราจะมองแล้วเดินผ่านไป หรือเราเปิดใจให้กับผู้อื่นเหมือนชาวสะมาเรีย บางครั้งเราพอใจกับการทำหน้าที่เท่านั้น หรือถือว่าเพื่อนมนุษย์เป็นเพียงคนในกลุ่มเดียวกัน คิดเหมือนเรา มีสัญชาติหรือศาสนาเดียวกับเรา พระเยซูทรงพลิกวิธีคิดนี้ โดยนำเสนอชาวสะมาเรียในแบบคนต่างชาติหรือต่างศาสนาที่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ได้รับบาดเจ็บ และพระองค์ขอให้เราทำเช่นเดียวกัน”


“การมองโดยไม่เดินผ่านไป การหยุดจังหวะชีวิตที่วุ่นวาย การปล่อยให้ชีวิตของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นใคร พร้อมกับความต้องการและปัญหาของพวกเขา มาสัมผัสหัวใจของเรา นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นเพื่อนมนุษย์ซึ่งกันและกัน สิ่งที่สร้างความเป็นพี่น้องที่แท้จริงและทำลายกำแพงและอุปสรรค ในที่สุดความรักจะชนะ และพิสูจน์ว่าทรงพลังกว่าความชั่วร้ายและความตาย”


“ขอให้เรามองไปที่พระเยซู ชาวสะมาเรียใจดี ให้เราฟังเสียงของพระองค์อีกครั้ง เพราะพระองค์ตรัสกับแต่ละเราว่า ‘จงไปทำเช่นเดียวกัน’” พระสันตะปาปาตรัสตอนท้าย


หลังมิสซาจบลง พระสันตะปาปาทรงออกมานำสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าว พระองค์ขอร้องทุกคนอย่าลืมภาวนาเพื่อสันติภาพ และเพื่อทุกคนที่ต้องตกอยู่ในสภาพทุกข์ทรมานและขัดสนด้วย”


Sources:


1. https://www.vatican.va/content/leo-xiv/en/homilies/2025/documents/20250713-omelia-castelgandolfo.html


2. https://www.vatican.va/content/leo-xiv/en/angelus/2025/documents/20250713-angelus.html 


Comments