โป๊ปเลโอ ย้ำ คริสตชนคิดต่างกันได้ เถียงกันได้ ตำหนิกันได้ แต่ต้องไม่แตกแยก
- โป๊ป เลโอ ที่ 14 ทรงย้ำ คริสตชนคิดต่างกันได้ เถียงกันได้ ตำหนิกันได้ แต่ต้องไม่แตกแยก เหมือน “เปโตรกับเปาโล” คนหนึ่งเป็นชาวประมง อีกคนเป็นปัญญาชน ทั้งสองเถียงกัน ตำหนิกัน แต่ปลายทางคือเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซู
- ทรงกระตุ้น คริสตชนต้องหมั่นถามตัวเองเสมอว่า “สำหรับเราแล้ว พระเยซูคือใคร” เพื่อฟื้นฟูพลังชีวิตของความเชื่อและไม่ให้ศาสนากลายเป็นเพียงมรดกจากอดีตที่ผ่านไป
ช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา พระสันตะปาปา เลโอ ที่ 14 ทรงเป็นประธานในมิสซาสมโภชนักบุญเปโตรและเปาโล ซึ่งจัดในมหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน มิสซานี้ พระสันตะปาปาทรงมอบ “ปัลลิอุม” (ผ้าขนแกะคล้องคอ เป็นเครื่องหมายของความเป็นหนึ่งเดียวกันกับบิช็อปแห่งกรุงโรม และเป็นเครื่องหมายของการอภิบาลรับใช้สืบต่อจากนักบุญเปโตร) ให้กับอาร์คบิช็อป 54 คนที่ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองอัครสังฆมณฑลในรอบปีที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นมี “อาร์คบิช็อป ฟรานซิส เซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์” แห่งกรุงเทพฯ ประเทศไทย รวมอยู่ด้วย
สำหรับบทเทศน์ประจำมิสซา Pope Report สรุปใจความสำคัญมาให้ดังนี้
1. เปโตรและเปาโล แบบอย่างของความเป็นหนึ่งเดียวกันในความแตกต่าง
พระสันตะปาปาเริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นว่า “แม้ประวัติความเป็นมาของนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโลจะดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ทั้งสองกลับถูกเรียกให้มาเผชิญกับหนทางเดียวกัน นั่นคือ การเป็นมรณสักขีเพื่อยืนยันความเชื่อในพระคริสต์ ทั้งสองต่างพร้อมที่จะสละชีวิตของตนเพื่อพระวรสาร”
พระสันตะปาปาย้ำว่า ความเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่าย พระองค์ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของทั้งสองท่านอย่างตรงไปตรงมา
“ความเป็นพี่น้องกันในพระจิตของทั้งสองไม่ได้ลบล้างความแตกต่างของที่มา ซีโมนเป็นชาวประมงจากกาลิลี ส่วนเซาโลเป็นปัญญาชนที่มีการศึกษาสูงและเป็นสมาชิกของกลุ่มฟาริสี เปโตรทิ้งทุกสิ่งทันทีเพื่อติดตามพระเยซู ส่วนเปาโลเบียดเบียนคริสตชนก่อนที่ชีวิตของท่านจะเปลี่ยนไปหลังการพบกับพระคริสต์ผู้กลับคืนชีพ”
พระสันตะปาปายังได้กล่าวถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างอัครสาวกทั้งสอง ดังที่นักบุญเปาโลได้บันทึกไว้ว่า “เมื่อเคฟาส (เปโตร) มาถึงเมืองอันติโอ๊ก ข้าพเจ้าได้คัดค้านท่านซึ่งๆ หน้า เพราะพฤติกรรมของท่านเป็นที่น่าตำหนิ” (กาลาเทีย 2:11)
“ประวัติศาสตร์ของเปโตรและเปาโลสอนเราว่า ความสนิทสัมพันธ์ที่พระเจ้าเรียกเราไปยังจุดหมายนั้น คือ ความสอดคล้องของเสียงและบุคลิกที่แตกต่าง ไม่ได้เป็นการลบล้างอิสรภาพของแต่ละคน … ทั้งสองเดินทางบนหนทางที่แตกต่างกัน มีความคิดที่ต่างกัน บางครั้งก็โต้เถียงกันด้วยความจริงใจตามแบบพระวรสาร แต่สิ่งนั้นก็ไม่ได้ขัดขวางท่านทั้งสองจากการดำเนินชีวิตในความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกันของอัครสาวก (Concordia Apostolorum)”
พระสันตะปาปายังอ้างอิงคำสอนของนักบุญออกัสตินเพื่อเน้นย้ำประเด็นนี้ว่า “เราเฉลิมฉลองการรับทรมานของอัครสาวกทั้งสองในวันเดียวกัน พวกท่านก็เป็นหนึ่งเดียวกันด้วย เพราะแม้จะรับทุกข์ทรมานในวันที่ต่างกัน แต่ท่านทั้งสองก็เป็นหนึ่งเดียวกัน”
2. “สำหรับท่านแล้ว เราคือใคร” คำถามเพื่อฟื้นฟูพลังชีวิตของความเชื่อ
ประเด็นที่สอง พระสันตะปาปาทรงเตือนสติว่า “ในชีวิตคริสตชนมักมีความเสี่ยงที่จะตกลงไปในความซ้ำซากจำเจ หรือรูปแบบงานอภิบาลที่ทำซ้ำๆ โดยไม่มีการฟื้นฟูภายใน … ชีวิตของเปโตรและเปาโลเป็นแรงบันดาลใจให้เราเปิดใจต่อการเปลี่ยนแปลงและแสวงหาหนทางใหม่ๆ ในการประกาศข่าวดี หัวใจสำคัญของประเด็นนี้คือคำถามที่พระเยซูทรงถามบรรดาศิษย์ ซึ่งทรงส่งตรงมาถึงเราในปัจจุบันด้วยเช่นกันว่า ‘แล้วพวกท่านคิดว่าเราเป็นใคร’” (แม็ทธิว 16:15)
“เราต้องใส่ใจกับคำถามนี้ทุกวันในทุกช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ ดังที่พระสันตะปาปา ฟรานซิส ย้ำเตือนเราอยู่เสมอว่า ‘ถ้าเราไม่ต้องการให้ความเป็นคริสตชนของเราถูกลดทอนลงเหลือเพียงมรดกตกทอดจากอดีต เราจำเป็นต้องก้าวข้ามความเชื่อที่เหนื่อยล้าและหยุดนิ่ง’ ขอให้เราตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า ‘วันนี้พระเยซูคริสต์คือใครสำหรับเรา’”
หลังมิสซาจบลง พระสันตะปาปาทรงออกมานำสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าว สำหรับประเด็นสำคัญที่พระองค์แบ่งปัน มีดังนี้
1. ศาสนจักรกรุงโรม ก่อร่างขึ้นจากโลหติของมรณสักขี
พระสันตะปาปาตรัสว่า “วันนี้เป็นวันฉลองที่ยิ่งใหญ่ของศาสนจักรกรุงโรม ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากประจักษ์พยานของอัครสาวกเปโตรและเปาโล และได้รับการหล่อเลี้ยงให้เกิดผลจากโลหิตของท่านทั้งสองและของมรณสักขีอื่นๆ อีกมากมาย”
“ด้วยเหตุนี้ จึงมีสิ่งที่เรียกว่า คริสตศาสนสัมพันธ์แห่งโลหิต (Ecumenismo del Sangue) ซึ่งเป็นความเป็นหนึ่งเดียวกันที่มองไม่เห็นและลึกซึ้งระหว่างศาสนจักรคริสต์ต่างๆ แม้จะยังไม่ได้ดำเนินชีวิตในความสนิทสัมพันธ์ที่สมบูรณ์และมองเห็นได้ระหว่างกันก็ตาม พ่อจึงขอยืนยันในวันสมโภชนี้ว่า ศาสนบริกรในฐานะบิช็อปของพ่อ คือการรับใช้ความเป็นหนึ่งเดียวกัน”
2. ความยิ่งใหญ่ของเปโตรและเปาโล เกิดจากการให้อภัย ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ
พระสันตะปาปาทรงใช้ภาพของ “ศิลา” ที่พระคริสต์ทรงเป็น และเปโตรได้รับชื่อมาจากศิลานี้ว่าเป็นศิลาที่ถูกมนุษย์ทิ้งขว้าง มาสอนว่า ความยิ่งใหญ่ของอัครสาวกไม่ได้มาจากความสมบูรณ์แบบ เพราะพระคัมภีร์ พันธสัญญาใหม่ ไม่ได้ปิดซ่อนความผิดพลาดของท่านทั้งสอง
“ความยิ่งใหญ่ของท่านทั้งสอง ถูกหล่อหลอมขึ้นจากการให้อภัย พระผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพได้เสด็จไปหาพวกเขามากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อนำพวกเขากลับมาสู่หนทางของพระองค์ พระเยซูไม่เคยทรงเรียกเพียงครั้งเดียว ด้วยเหตุนี้ เราทุกคนจึงสามารถมีความหวังได้เสมอ ดังที่ปีศักดิ์สิทธิ์ได้เตือนใจเรา”
พระสันตะปาปาทรงสรุปว่า “ความเป็นหนึ่งเดียวกันในศาสนจักรและระหว่างศาสนจักรต่างๆ ... ได้รับการบำรุงเลี้ยงจากการให้อภัยและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ... หากพระเยซูทรงไว้วางใจเรา เราก็สามารถไว้วางใจซึ่งกันและกันได้เช่นกันในพระนามของพระองค์”
Sources:
1. https://www.vatican.va/content/leo-xiv/en/homilies/2025/documents/20250629-omelia-pallio.html
2. https://www.vatican.va/content/leo-xiv/it/angelus/2025/documents/20250629-angelus.html
Comments
Post a Comment