สถิติเลือกตั้งพระสันตะปาปา: ทำไมคอนเคลฟยุคใหม่จึงจบในไม่กี่วัน
ผมนั่งอ่าน The Washington Post แล้วเจอบทความนี้ที่ทำรูปได้ชัดเจนดี จึงขอนำมาแบ่งปันกัน แต่ก่อนอื่น ผมออกตัวก่อนว่า Pope Report ไม่ให้ความสำคัญเรื่อง Papabile (ปาปาบิลี่) หรือคาร์ดินัลตัวเต็งที่อาจเป็นพระสันตะปาปา ทำไมผมไม่สนใจ? ลองอ่านไปเรื่อยๆนะครับ …
Photo: The Washington Post
หลายคนอาจจินตนาการว่า กระบวนการเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ (Conclave - คอนเคลฟ) อาจใช้เวลาหลายวันหรือเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่สถิติจาก The Washington Post ยืนยันว่า “คอนเคลฟยุคใหม่จบภายในไม่กี่วัน” และส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งสัปดาห์
ย้อนรอยประวัติศาสตร์: จาก 83 รอบสู่คอนเคลฟ 1 วัน
ค.ศ.1831 การเลือกตั้งพระสันตะปาปา เกรโกรี่ ที่ 16 ใช้เวลานานถึง 50 วัน ลงคะแนนถึง 83 รอบ
แต่ในรอบ 200 ปีที่ผ่านมา คอนเคลฟส่วนใหญ่ใช้เวลาเพียง 1-4 วัน เช่น ค.ศ.1939 พระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 12 ใช้เวลา 1 วัน โดยลงคะแนน 3 รอบ ส่วน ค.ศ.1978 พระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ 1 ใช้เวลา 1 วัน โดยลงคะแนน 4 รอบ
ยุคใหม่: คอนเคลฟจบใน 2-4 วัน
พระสันตะปาปาจอห์น พอล ที่ 2 (ค.ศ. 1978) ใช้เวลา 2 วัน 8 รอบ
พระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 (ค.ศ. 2005) ใช้เวลา 2 วัน 4 รอบ
พระสันตะปาปา ฟรานซิส (ค.ศ. 2013) ใช้เวลา 2 วัน 5 รอบ
ข้อสังเกต
คอนเคลฟที่ใช้เวลานานที่สุดในประวัติศาสตร์คือ ค.ศ.1268-1271 ใช้เวลากว่า 1,000 วัน ซึ่งเลือกพระสันตะปาปา เกรโกรี่ ที่ 10
หลังศตวรรษที่ 19 กระบวนการเลือกตั้งมีประสิทธิภาพมากขึ้น กฎเกณฑ์ชัดเจน ทำให้ใช้เวลาสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด
การเตรียมการล่วงหน้าของคาร์ดินัลแต่ละกลุ่ม
ความจำเป็นในการสร้างเสถียรภาพและความต่อเนื่องของศาสนจักรในยุคโลกาภิวัตน์ คาร์ดินัลตระหนักแล้วว่า ยิ่งปล่อยให้ตำแหน่งพระสันตะปาปาว่างนานเท่าไหร่ ปัญหาจะยิ่งตามมา
อย่างไรก็ตาม Pope Report ขอทิ้งท้ายว่า จากประสบการณ์ที่ได้ติดตามทำข่าวพระสันตะปาปามา 23 ปี และผ่านการทำข่าวการเลือกตั้งพระสันตะปาปามาแล้ว 2 ครั้ง (ค.ศ.2005 และ 2013) ตัวผมเอง “เลิก” ให้ความสนใจเรื่องตัวเก็งพระสันตะปาปาไปตั้งแต่ปี 2013 และค่อนข้างเชื่ออย่างสนิทใจจริงๆว่า นี่คือการทำงานของพระจิตที่จะเลือกพระสันตะปาปาให้เหมาะกับยุคสมัย
คอนเคลฟปี 2013 คือจุดเปลี่ยนจริงๆที่ผมเลิกมองเรื่อง Papabile (ปาปาบิลี่ หรือคาร์ดินัลตัวเต็งจะเป็นพระสันตะปาปา) ตอนนั้น ผมก็หลงไปกับกระแสข่าวและไปโฟกัสคนนั้นคนนี้ แต่พอเรามีพระสันตะปาปา ฟรานซิส ซึ่งปี 2013 เป็น “คาร์ดินัลนอกสายตา เพราะคนมองว่าแก่เกินไป”
ผมรู้เลยว่า “นี่คือการทำงานของพระจิตจริงๆ” ปี 2013 ถ้าดูสถานการณ์โลกดีๆ ตอนนั้น เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังบูมขึ้นเรื่อยๆ (ผมใช้ตัวชี้วัดคือดัชนีตลาดหุ้นอเมริกา) ถ้าหุ้นขึ้น หมายความว่า คนอยู่ดีกินดี แต่ปัญหาคือ “ช่องว่างคนรวยและคนจน ถูกทิ้งห่างเกินไป”
เหมือนพระเจ้ามีแผนการให้เรามีพระสันตะปาปาที่ไม่ทอดทิ้งคนยากจน เราจึงได้พระสันตะปาปา ฟรานซิส มาสานงานต่อจากนักบุญเปโตร
ส่วนสถานการณ์ปี 2025 ผมว่าความขัดแย้งระดับโลกมันแรงขึ้นแบบมากๆ มันอาจจะเป็น “สงครามการค้า” หรือ “สงครามเย็น” ที่แบ่งโลกออกเป็น 2 ฝั่ง
ผมภาวนาว่า พระจิตจะทำงานให้เราได้มี “พระสันตะปาปาที่เป็นคนประสานทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน” แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าจะเป็นใคร
แต่เชื่อว่า พระจิตจะทำงานอย่างแน่นอน
Comments
Post a Comment