โป๊ปฟรังซิส 'การประกาศข่าวดีที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการนั่งสบายๆ บนโซฟา'

  • สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงกระตุ้นคาทอลิกให้ลุกขึ้นและก้าวออกไปประกาศข่าวดี เพราะการประกาศข่าวดีที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการนั่งสบายๆ บนโซฟา แต่มันต้องลงมือทำอย่างร้อนรน 
  • ทรงย้ำอีกครั้ง การประกาศข่าวดีไม่ใช่การบังคับคนอื่นเปลี่ยนศาสนา

Photo: Vatican Media


ช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาเช้าในวัดน้อยประจำหอพักซางตา มาร์ธา บทอ่านวันนี้จากหนังสือกิจการอัครสาวก เป็นเหตุการณ์ที่ฟิลิปประกาศข่าวดี ตามคำสั่งของพระจิตและทูตสวรรค์ที่กล่าวว่า "จงลุกขึ้น จงตามไป และจงทำสิ่งนี้ทันที"

พระสันตะปาปาทรงเทศน์แบ่งปันว่า "เหตุการณ์ในหนังสือกิจการอัครสาวกตอนนี้ กระแสลมของการเบียดเบียนคริสตชนยุคแรกเริ่มได้พัดพาบรรดาอัครสาวกให้กระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยูเดีย หรือซามาเรีย มันเปรียบเหมือนลมที่พัดใส่เมล็ดพืชนั่นแหละ มันพัดพาและหว่านเมล็ดนั้นไปตามที่ต่างๆ เรื่องนี้เกิดกับกลุ่มคริสตชนยุคแรกเริ่มเช่นกัน พวกเขาไปทุกที่ด้วยเมล็ดพันธุ์แห่งพระวาจา และพวกเขาก็ได้หว่านเมล็ดพันธุ์นี้ต่อไป นับตั้งแต่เกิดกระแสลมของการเบียดเบียน บรรดาอัครสาวกก็นำการประกาศข่าวดีไปยังที่ต่างๆ นี่คือวิธีการที่พระเจ้าทรงประกาศข่าวดี และนี่ก็คือวิธีที่พระเจ้าต้องการให้เราประกาศข่าวดี

"พึงระลึกเสมอว่า การประกาศข่าวดีไม่ใช่การบังคับคนอื่นเปลี่ยนศาสนา การประกาศข่าวดีที่แท้จริงเริ่มต้นด้วยการกระทำของพระจิต เป็นพระจิตที่บอกถึงหนทางอันลึกลับที่เราต้องไปและบอกถึงบุคคลที่เราต้องไปประกาศพระนามของพระเยซูให้กับเขา

"เห็นไหมว่า พระจิตตรัสกับฟิลิปว่าอย่างไร 'จงลุกขึ้น และจงตามไป จงไปให้ทัน' การประกาศข่าวดีแบบนั่งบนโซฟาทำไม่หรอก เพราะจงลุกขึ้นและจงตามไป เป็นการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด การตามไปคือการไปยังที่ต่างๆ ซึ่งท่านต้องประกาศพระวาจา ตัวอย่างชัดๆ คือพวกธรรมทูตที่สละทุกสิ่งเพื่อนำพระวาจาของพระเจ้าไปประกาศยังดินแดนห่างไกล หลายคนต้องตายหรือถูกฆ่าตายดุจมรณสักขี

"การประกาศข่าวดีไม่ใช่หลักทฤษฎี แต่การประกาศข่าวดีคือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลกับบุคคล จุดเริ่มต้นคือสถานการณ์ตรงนั้น ไม่ใช่ทฤษฎีว่าต้องทำอย่างไร ดังเช่นที่ฟิลิปประกาศพระเยซูคริสต์ให้กับขันทีชาวเอธิโอเปีย และโปรดศีลล้างบาปโดยอานุภาพของพระจิตให้กับเขา

"ฉะนั้น ขอให้เราก้าวออกไป จงไป ไป! กระทั่งเราสัมผัสได้ว่า งานของเราสำเร็จแล้ว และนี่แหละคือการประกาศข่าวดี" พระสันตะปาปา ตรัสปิดท้าย