ฟาติมาสาร - จากใจ ... แด่พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ (3 มีนาคม 2013)

ตั้งแต่สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประกาศสละตำแหน่ง ตัวผมเองยังไม่ได้เขียนบทความถึงพระองค์อย่างเป็นทางการ เพราะมัวแต่รายงานข่าวเกี่ยวกับพระองค์ที่มีมากจนมองข้ามไม่ได้ วันนี้ ผมขอใช้โอกาสนี้เขียนความรู้สึกจากใจถึงพระองค์บ้างก็แล้วกัน   ....


วันอังคารที่ 19 เมษายน 2005 เป็นวันแรกที่ผมได้รู้จักและเริ่มติดตามพระสันตะปาปาเบเนดิกต์อย่างเป็นทางการ จากวันนั้นถึงวันนี้ เวลาเกือบ 8 ปีที่ผมได้ซึมซับแนวคิดหลายๆอย่างจากพระองค์ ความรู้สึกแปรเปลี่ยนไปหลายอย่าง จากความรู้สึก “ไม่มั่นใจ” เปลี่ยนมาเป็นความรู้สึก “พระจิตทำงานและเลือกพระสันตะปาปาได้ถูกคน” จากความมั่นใจเปลี่ยนมาเป็น “การประกาศตัวสนับสนุนแบบจริงจัง” และวินาทีสุดท้าย พระองค์ยังมอบคำสอนล้ำค่าเรื่อง “การไม่ยึดติดกับตำแหน่ง” ให้นำไปใช้ต่อด้วย

ผู้อ่านหลายคนคงทราบดีว่า สถานที่แรกที่ผมเริ่มทำข่าวพระสันตะปาปาก็คือหน้ากระดาษฟาติมาสารแห่งนี้ (เริ่มปี 2002 ในยุคสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2) จากนั้น ปี 2006 ผมเริ่มพัฒนาการรายงานข่าวไม่ให้จำกัดอยู่แค่หน้าฟาติมาสาร เพราะถ้าจมอยู่แค่ฟาติมาสาร ก็จะมีแค่คาทอลิกวัดแม่พระฟาติมาเท่านั้นที่จะอัพเดทข่าวได้ทันสมัยกว่าคนอื่น ปี 2006 ผมตัดสินใจเดินเข้าสู่การรายงานข่าวแบบออนไลน์ โดยมีอุดมการณ์ในตอนนั้นว่า “ต้องการให้คาทอลิกไทยและคนทั่วไปได้เข้าใจเรื่องของพระสันตะปาปาอย่างถูกต้อง” ซึ่งผู้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมทำข่าวในอินเตอร์เน็ทก็คือสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 นั่นเอง

แต่ทว่า การที่พระสันตะปาปาเป็นแรงบันดาลใจครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจาก “ข่าวดีๆ” ในช่วงนั้น แต่มันเกิดจากการที่สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ทรงถูกรุมกระหน่ำแบบเละเทะจากสื่อมวลชนหลายสำนักที่ทะลึ่งบิดเบือนพระดำรัสของพระองค์ที่ตรัสถึงศาสนาอิสลาม (หากยังจำกันได้ มันคือเหตุการณ์ที่เรเกนส์บวร์ก ประเทศเยอรมนี อันนำไปสู่การประท้วงใหญ่โตทั่วโลก เพียงเพราะนักข่าวนำพระดำรัสพระสันตะปาปาไปถ่ายทอดไม่ครบ พวกเขาจงใจบิดเบือนให้ขายข่าวได้นั่นเอง)

ตอนนั้น ผมจำได้ว่า ผู้นำประเทศต่างๆ สื่อมวลชนทุกสำนัก รวมถึงชาวมุสลิมหลายประเทศ ออกมาตำหนิพระสันตะปาปาอย่างรุนแรง โชคดีที่ผมได้อ่านพระดำรัสนั้นแบบเต็มๆ ไม่ได้ถูกตัดตอนแบบที่นักข่าวนำไปเสนอ ผมจึงเข้าใจเนื้อหาของสารดังกล่าวครบถ้วน ถ้าฟังทั้งหมด เราจะรู้ว่าพระสันตะปาปาไม่ได้ตำหนิศาสนาอิสลาม แต่พระองค์กำลังเล่าถึงบทสนทนาระหว่างคนสองคนในยุคกลาง (คนหนึ่งคริสต์ คนหนึ่งมุสลิม) แต่นักข่าวไปตัดตอนแค่นักปราชญ์คริสต์พูด แต่ไม่รายงานถึงตอนนักปราชญ์มุสลิมตอบกลับ เท่านั้นแหละ เป็นเรื่องเลย พระสันตะปาปาเบเนดิกต์กลายเป็นจำเลยสังคมทันที

วินาทีที่ผมเห็นข่าวประท้วงลามไปทั่วโลก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ตัวเองทำไมถึงมีพลังขับเคลื่อนบางอย่างในตัวปะทุออกมาว่า เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจเรื่องจริงอย่างถูกต้อง ตอนนั้นผมคิดว่าอินเตอร์เน็ทนี่แหละคือการนำเสนอความจริงได้เร็วสุดและเข้าถึงคนหมู่มากได้ง่าย ผมจึงตัดสินใจเริ่มทำข่าวบนอินเตอร์เน็ทตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยมีพระสันตะปาปาเบเนดิกต์เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดความเคลื่อนไหวนี้ และตั้งแต่เหตุการณ์นี้ ก็ต่อยอดมาถึงปัจจุบันนั่นเอง

บางทีการติดตามพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ก็นับเป็นเรื่องเหลือเชื่อ จากตอนแรกที่ผมบอกว่า ไม่ค่อยมั่นใจว่าพระองค์จะสานงานต่อจากพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ได้ดีไหม พอเกิดเหตุการณ์นี้ ผมรู้สึกว่าต้องเข้ามาปกป้องพระสันตะปาปาและให้ความเข้าใจถูกต้องกับทุกฝ่าย หลังจากเหตุการณ์นี้ ผมก็ได้ไปงานเยาวชนโลก 2008 ที่ออสเตรเลีย ได้ขึ้นไปพูดต่อหน้าพระสันตะปาปา พระองค์ทรงยิ้มพร้อมลุกขึ้นปรบมือให้

ความรู้สึกปีดังกล่าว ผมมั่นใจว่าการเลือกทำข่าวพระสันตะปาปาแบบรายวันบนอินเตอร์เน็ท น่าจะเป็น “กระแสเรียกแห่งการรับใช้” ที่พระส่งมาให้ และอาจเป็นกระแสเรียกพิเศษที่ต้องใช้ความอดทนสูง เนื่องจากงานนี้เป็นกางเขนที่หนักมาก ผมต้องทำข่าวทุกคืน (ทำหลังจากกลับจากทำงาน) งานนี้ไม่มีเงินทองไหลเข้ามา แต่มีบ้างที่ต้องจ่ายเงินตัวเองออกไป แถมยังทำให้ผมต้องนอนดึกหลังเที่ยงคืนทุกวัน แต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือ “ความสนุกในการทำงานนี้” ทำมา 10 ปี ทั้งที่เหนื่อยกายมากๆ แต่สมองและความคิดของผมกลับสนุกทุกวินาทีที่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวอย่างไม่เคยเปลี่ยน ... มีมาเซอร์ท่านหนึ่งเคยพูดกับผมว่า “การทำข่าวพระสันตะปาปาเช่นนี้ พระไม่ตอบแทนด้วยการจ่ายเงินทางโลกให้ผมหรอก แต่พระจะจ่ายเป็นเงิน ‘ตะแลนท์’ หรือ TALENT (พระพร) ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเยซูเคยกล่าวถึงในพระคัมภีร์” ผมฟังแล้วก็ยิ้ม แต่พยายามไม่คิดต่อ เพราะมันจะกลายเป็นเข้าข้างตัวเองเกินไป

พอปี 2009-2010 ผมได้พบพระสันตะปาปาอีกหลายครั้ง เพราะตอนนั้นไปเรียนที่ยุโรป ช่วงดังกล่าวผมเคยมีความคิดอยากไปทำงานในวาติกัน ทำงานเป็นสื่อมวลชนในนั้น แต่พอได้ไปสัมผัสวาติกันแบบเจาะลึก ความรู้สึกผมเปลี่ยนไปสิ้นเชิง ผมไม่ชอบบรรยากาศในวาติกันเท่าไหร่ ดูไม่เป็นมิตรและการชิงดีชิงเด่นเพื่อตำแหน่งมีสูงมาก ผมจำได้ว่า พระสันตะปาปาก็ออกมาเทศน์ปรามๆคนในวาติกันว่า อย่าหลงตำแหน่ง อย่าบ้าอำนาจ เพราะของพวกนี้เป็นเรื่องหลอกลวง ของจริงมันอยู่ที่ใจต่างหาก พระเจ้าและความดีเป็นสิ่งไม่ตาย ดังนั้น การทำงานศาสนาแล้วทะเลาะกัน แก่งแย่งตำแหน่งกัน จึงเป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงมาก 

พอมาถึงวันที่พระสันตะปาปาประกาศสละตำแหน่ง เหตุการณ์ปี 2009-2010 กลับมาอยู่ในสมองผมอีกครั้ง มันสะท้อนให้เห็นว่า พระสันตะปาปาก็ไม่ยึดติดกับตำแหน่งจริงๆ พระองค์พร้อมถอยให้คนที่เก่งกว่า พร้อมกว่า และมีความสามารถมากกว่าเข้ามาทำงานแทน ถ้ารู้ตัวว่าด้อยความสามารถ ก็จงถอยออกมา อย่าเป็นตัวถ่วงองค์กร ถ้ารักองค์กรจริง ต้องพร้อมสละเกียรติยศ และอย่าไปบ้าตำแหน่งยึดติดกับเก้าอี้เด็ดขาด 

การสละตำแหน่งของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ผมได้ลองรำพึงกับตัวเองแล้วพบว่า สมัยก่อน ผมเคยมีอุดมการณ์ว่า “TO BE A CATHOLIC REPORTER FOREVER” (จะเป็นนักข่าวคาทอลิกตลอดไป) รวมถึงอยากเป็นสื่อมวลชนในวาติกัน แต่ทุกอย่างมันเป็นเรื่องจอมปลอมสิ้นดี มันเป็นภาพลวงตาที่หลอกเราถึงความหรูหราโก้เก๋ พอปี 2009 ที่ผมได้ไปสัมผัสวาติกันแบบเจาะลึก ความคิดผมเปลี่ยนไป ผมไม่กล้าตั้งปณิธานว่าจะเป็นนักข่าวคาทอลิกตลอดไป แต่ขอถ่อมตัวลดระดับลงมาแค่ “การเป็นนักข่าวคาทอลิกคือการที่พระเจ้ามอบหน้าที่นี้ให้ ถ้าพระเห็นว่า หมดหน้าที่แล้ว ก็อย่าดันทุรังฝืนทำต่อไป จงทำตัวให้เหมือนนักบุญจอห์น บัปติสต์ ที่มาถางถางให้เรียบ ถ้าหมดหน้าที่ (พระเรียกกระแสเรียกนักข่าวคืน) ก็จงยุติบทบาทซะ สำคัญสุด การทำงานให้พระ ต้องทำให้เงียบที่สุด อย่าอวดตัวและโชว์ออฟ เพราะพระเยซูไม่เคยสอนให้ทำดีแล้วต้องอวดตัวเหมือนพวกฟาริสี แต่เวลาทำดี จงเงียบๆแบบหญิงม่ายที่นั่งแถวสุดท้ายในพระวิหาร”

พอพระสันตะปาปาประกาศสละตำแหน่ง ผมคิดว่า สิ่งที่ผมคิดสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งที่พระสันตะปาปาทำได้ ผมไม่รู้ว่าการเป็นนักข่าวคาทอลิกจะดำเนินไปถึงวันไหน แต่ผมจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด จนกว่าถึงวันหนึ่งที่ผมคิดว่า ตัวเองน่าจะหมดความสามารถ ผมก็พร้อมจะปลีกตัวออกไป เพราะผมมั่นใจว่า พระเจ้ามีกระแสเรียกให้ทุกคนได้มีหน้าที่และมีงานต้องทำในสวนองุ่นของพระองค์ ถ้าวันนั้นมาถึง ผมอาจไม่ต้องมาทำข่าวแบบนี้ แต่อาจมีหน้าที่บางอย่างในการช่วยพระศาสนจักรก็ได้

สุดท้ายนี้ ขอบคุณสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 สำหรับคำสอนและแนวคิดต่างๆที่ทำให้ผมได้ซึมซับเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา อีกสิ่งที่ผมได้รับจากพระองค์คือ “จงกล้าพูดและรายงานความจริง” เพราะความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ การเป็นนักข่าวคาทอลิกต้องยึดมั่นความจริงและมโนธรรมหลายประการ ความจริงอาจทำให้หลายคนเจ็บปวด แต่ระยะยาว มันจะเป็นชัยชนะที่ชำระล้างทุกอย่างให้มีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้น


AVE   MARIA

Comments